หุ้น KBANK ราคาไหลลง 4.49% มาอยู่ที่ 181.00 บาท ลดลง 8.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,377.65 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.08 น. โดยเปิดตลาดที่ 181 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 182 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 180 บาท
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯปรับลดคำแนะนำหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เป็น"ขาย"จากเดิม"ซื้อ"แม้ผลประกอบการ Q3/59 จะเป็นไปตามที่ consensus คาด แต่แนวโน้มยังเป็นลบ จาคุณภาพสินทรัพย์ที่แย่ลงและ credit cost ที่จะเพิ่มขึ้นในปี 60, โมเมนตั้มการเติบโตของรายได้ที่ชะลอตัวลงใน H2/59 และปี 60 จึงได้ปรับสมมติฐานให้สอดคล้องกับเป้าของ KBANK ในปี 60 จากการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิลง 23% และลดราคาเป้าหมายลง 18% เหลือ 190 บาท
กำไรสุทธิของ KBANK ใน Q3/59 อยู่ที่ 1.08 หมื่นล้านบาท (+15% QoQ และ +7% YoY) ซึ่งเป็นไปตาม consensus แต่ต่ำกว่าประมาณการ 6.5% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการกันสำรองสูงกว่าที่คาดไว้ ทั้งนี้ กำไรงวด 9 เดือนแรกปี 59 อยู่ที่ 2.99 หมื่นล้านบาท (-12% Yoy) คิดเป็น 76% ของประมาณการทั้งปี
รายได้ชะลอตัวลงใน Q3/59 โดยเฉพาะ non-NII ซึ่งลดลง 0.5% QoQ และ 2% YoY ขณะที่โตแค่ 2.4% ใน 9 เดือนแรกปี 59 (ซึ่งต่ำกว่าเป้าทั้งปีของธนาคารที่คาดว่าจะโตถึง 10-12%) โดยรายได้จากค่าธรรมเนียม bancassurance ลดลงมากที่สุดถึง 36% QoQ และ 29% YoYใน Q3/59 ในขณะที่การแกว่งตัวของรายได้จากการปริวรรตเงินตราก็ส่งผลให้ non-NII ผันผวนอย่างมาก ส่วนในแง่ของ NII ยังคงเติบโตอย่างช้าๆ 1% QoQและ6% YoY (ตามอัตราการขยายตัวของสินเชื่อที่ 6% YoY)
Gross NPL เร่งตัวขึ้นเป็น +14% QoQ, +31% YTD, +41% YTD จากการที่สินเชื่อที่ผ่านการปรับโครงสร้างกลายมาเป็นสินเชื่อไม่ก่อรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่การกำหนด credit cost ลดลงเหลือ 164bps (จาก 210bps ใน Q2/59) ก็ส่งผลให้ NPL coverage ลดลงอย่างมากเหลือแค่ 127% (จาก 137% ใน Q2/59)
ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารกำหนด credit cost ไว้ที่ 218bps ในงวด 9 เดือนแรกปี 59 จึงทำให้ธนาคารยังคงเป้า credit cost ปีนี้เอาไว้ได้ที่ 190bps ซึ่งหมายความว่า credit cost ใน Q4/59 จะ <100bps
แม้ credit cost ของธนาคารลดลงใน 2/59 KBANK บอกว่าจะกำหนด credit cost เพิ่มขึ้นอีกในปี 60 เป็น 200-225bps จาก 190bps ในปี 59)ในขณะที่เป้าหมายทางการเงินอื่นๆ ของธนาคารก็บ่งถึงโมเมนตั้มการเติบโตของรายได้ที่ชะลอลง โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโตของสินเชื่อปี 60 ไว้ที่ 4-6%(ลดลงจาก 6-7% ในปี 59), รายได้ค่าธรรมเนียม>5%, NIM ลดลงเหลือ 3.3-3.5% (จาก 3.5% ในปี 59) ซึ่งเมื่อใช้สมมติฐานเหล่านี้ในการคำนวณ ก็หมายความว่ากำไรสุทธิจะหดตัวลงในปี 60