นายอภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพประกันภัย (BKI) เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับในปีนี้ลดลงเหลือ 1.66 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 5% จากปีก่อน จากเดิมที่ตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยรับที่ 1.8 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 13% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะการแข่งขันของธุรกิจประกันที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันอย่างรุนแรงด้านราคาของประกันภัยรถยนต์ เป็นผลจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง
ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่เท่ากับ 429,265 คัน ลดลง 0.16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับ ผู้บริโภคระมัดระวังในเรื่องการใช้จ่ายในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้เบี้ยประกันภัยเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาตัดสินใจซื้อประกันภัยรถยนต์ ซึ่งทำให้ตลาดประกันภัยรถยนต์ยิ่งมีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในตลาดประกันภัยรถยนต์ 2+ และ 3+ โดยในปีนี้สัดส่วนพอร์ตประกันภัยรถยนต์ของบริษัทจะลดลงเป็น 40% จากปีก่อนที่ 42% ตามภาวะการเติบโตของประกันภัยรถยนต์ของบริษัทที่จะเติบโตลดลงเหลือเติบโต 10.56% จากเดิมที่เติบโต 10.70%
ส่วนประกันภัยทรัพย์สิน เช่น Fire และ IAR มีภาวะการแข่งขันรุนแรงเช่นกัน โดยบริษัทประกันภัยต่างเสนอลดเบี้ยประกันภัยเพื่อจูงใจลูกค้า อีกทั้งการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ยังคงเป็นไปด้วยความเข้มงวด และโครงการเมกะโปรเจ็คต์ภาครัฐยังชะลอออกไป ส่งผลให้งานวิศวกรรมไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงรักษาระดับอัตราการทำกำไรไว้ได้ในเกณฑ์ดี โดยเน้นการพิจารณารับประกันภัยในงานที่ดี มีความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบบการทำงาน ทั้งด้านรับประกันภัยและงานสินไหมทดแทนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยให้การทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ด้านกำไรมีโอกาสทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่จะมีกำไรจากการรับประกันภัยเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% หลังจากครึ่งปีแรกกำไรจากการรับประกันภัยเติบโต 16%
ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 7.81 พันล้านบาท ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะมีกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 734.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/59 บริษัทจะเน้นการให้ความสำคัญกับการขยายงานใหม่และรักษาฐานงานต่ออายุให้ได้มากที่สุด โดยเน้นการจัดทำ Risk Survey อย่างเข้มงวด และรับประกันภัยเฉพาะงานที่มีความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และมีโอกาสสร้างผลการดำเนินงานที่ดี รวมไปถึงการขยายสาขาเพื่อให้บริการที่ครอบคลุมและอำนวยความสะดวกแก่กลุ่มลูกค้าและคู่ค้าทั่วประเทศ อีกทั้งการขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยที่ผ่านมาได้ขยายธุรกิจไปยัง สปป.ลาว โดยเข้าไปเปิดบริษัท กรุงเทพประกันภัย (ลาว) จำกัด ณ กรุงเวียงจันทน์​
ขณะที่ด้านการแข่งขันแข่งขันจะเน้นเฉพาะ Segment ที่วิเคราะห์แล้วเห็นว่ายังสามารถสร้างกำไรได้ เช่น กลลุ่มรถ SUV หรือรถที่ใช้งานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ กลุ่มการสนับสนุนโครงการภาครัฐด้านการประกันภัยทางการเกษตร เช่น โครงการข้าวนาปี และการให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยและบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการและสอดคล้องกับรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้บริโภค ตามแนวคิด Lifestyle Insurance Provider
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในไตรมาส 4/59 บริษัทมีการดำเนินการเพื่อเสริมศักยภาพของผลิตภัณฑ์และการขายผลิตภัณฑ์ของบริษัท เช่น การร่วมมือกับพันธมิตรออกกรมธรรม์สำหรับคนวัยทำงานทั้งที่อยู่ในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ คือ “ประกันภูมิภาค" ซึ่งจะให้วงเงินคุ้มครองเพิ่มมากเป็นพิเศษ กรณีถูกสัตว์ทำร้าย ซึ่งเป็นภัยที่เกษตรกรมักประสบบ่อยครั้ง และกรณีได้รับอุบัติเหตุจากเครื่องจักรขณะทำงาน ซึ่งเป็นความเสี่ยงภัยของบุคคลที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมและช่างฝีมือ
การสนับสนุนการให้บริการแบบ Service Excellence ได้แก่ BKI iCare Application แอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือที่อำนวยความสะดวกทั้งด้านการทำประกันภัย การตรวจสภาพรถ การแจ้งเคลม การชำระเงิน และการติดต่อเรื่องอื่นๆ Tele Photo Claims ซึ่งเป็นการติดต่อรับส่งเรื่องการเคลมสินไหมทดแทนรถยนต์และภาพถ่ายผ่านแอปพลิเคชั่น Line หรือช่องทางอื่นๆ ที่ลูกค้าสะดวก และ e-Policy บริการกรมธรรม์ประกันภัยอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดส่งในรูปแบบซอฟต์ไฟล์ให้แก่ลูกค้าเพื่อความสะดวกรวดเร็ว และช่วยลดโลกร้อน
ด้านนายพนัส ธีรวณิชย์กุล กรรมการและประธานคณะผู้บริหาร BKI กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจประกันวินาศภัยช่วงครึ่งหลังของปีนี้ การแข่งขันในธุรกิจประกันวินาศภัยยังคงมุ่งเน้นที่ลูกค้ารายย่อย โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์ เนื่องจากเบี้ยประกันภัยจากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมยังไม่เข้าสู่ระบบมากเท่าที่บริษัทต่าง ๆ คาดหวังไว้ในช่วงต้นปี เพราะงบประมาณภาครัฐที่ใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ในช่วงครึ่งปีหลังชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก รวมทั้งอัตราเบี้ยประกันภัยต่อในตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เบี้ยประกันภัยทรัพย์สินไม่สามารถเติบโตได้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งปี 59 สมาคมประกันวินาศภัยไทยได้คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตสูงกว่าที่เคยคาดไว้ 2.2% จากปีก่อน และมีโอกาสที่จะสามารถเติบโตได้สูงถึง 3-3.5%