นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.79 พันล้านบาท โดยเป็นผลมาจากรายได้ที่จะเติบโต 3 เท่า จากระดับ 4.45 หมื่นล้านบาทในปีก่อน ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้มีรายได้แล้ว 5.95 หมื่นล้านบาท เป็นผลจากการควบรวมกิจการ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) ซึ่งบริษัทจะเริ่มบันทึกรายได้ของ BIGC เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 3/59 เป็นต้นไป ซึ่งทำให้รายได้และกำไรของบริษัทเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/59 คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่มีผลการดำเนินงานออกมาดีอย่างมีนัยสำคัญ เพราะมีการบันทึกงบการเงินของ BIGC เข้ามาเป็นไตรมาสแรก และมีกำไรพิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากบริษัทได้คืนเงินกู้ 3.2 พันล้านยูโร และในไตรมาส 4/59 ผลการดำเนินงานมีโอกาสดีต่อเนื่องในช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจที่ปกติจะอยู่ในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 4 ของทุกปีการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค
"สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปีนี้ เราก็ยังมั่นใจว่าจะเป็นอีกไตรมาสที่ดีเหมือนทุก ๆ ปีที่ผ่านมา เพราะเข้าสู่ไฮซีซั่นของธุรกิจ ที่โดยปกติไฮซีซั่นจะอยู่ไตรมาส 1 และไตรมาส 4 และในปีนี้บริษัทยังมีส่วนแบ่งรายได้จาก BIGC เข้ามาอีก ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานมีโอกาสที่ออกมาดีต่อเนื่อง และทำให้รายได้ในปีนี้โต 3 เท่าจากปีก่อน และมีกำไรนิวไฮในปีนี้"นายอัศวิน กล่าว
ทั้งนี้ หลังจากการควบรวม BIGC เข้ามา ส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศของบริษัทลดลงเป็น 10% จากเดิมที่ 25% เพราะ BIGC มีรายได้จากในประเทศเกือบ 100% โดยมีสาขาของ BIGC ในประเทศราว 800 สาขา