น.ส.ธีรดา กอศรีลบุตร นักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.น้ำมันพืชไทย (TVO) กล่าวว่า ผลผลิตถั่วเหลืองในตลาดโลกที่ยังคงออกมามากอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้กระทบต่อราคาซื้อขายเมล็ดถั่วเหลืองในตลาดโลกให้ปรับลดลง โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ 990 เซนต์/บุชเชล และแนวโน้มก็ยังไม่เห็นราคาจะปรับลง จึงยังไม่มีผลกระทบกับบริษัท
โดยปีนี้ยังคงตั้งเป้าปริมาณขาย ทั้งกากถั่วเหลืองและน้ำมันถั่วเหลือง เติบโต 6-7% จากปีก่อน ซึ่งในส่วนของรายได้จากการขายก็น่าจะเติบโตตามปริมาณขาย และราคาขายที่สูงขึ้น ประกอบกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาขายที่เพิ่มขึ้น ยังจะช่วยผลักดันให้กำไรสุทธิปีนี้สูงกว่าปีก่อนด้วย
"ปีนี้ปริมาณขายก็น่าจะเป็นไปตามเป้า ผลิตออกมาเท่าไหร่ก็ขายได้หมดเพราะปาล์มขาดตลาด คนก็มาซื้อน้ำมันถั่วเหลืองกัน ขณะที่กากถั่วเหลืองก็ขายดีบ้านเราเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น ความต้องการอาหารสัตว์สูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเลี้ยงไก่ส่งออก หนุนให้กำไรเราสูงขึ้น"น.ส.ธีรดา กล่าว
อนึ่ง TVO มีกำไรสุทธิในปี 58 ที่ระดับ 1,903 ล้านบาท และมีรายได้รวม 26,626 ล้านบาท ขณะที่ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ บริษัททำกำไรสุทธิได้แล้ว 1,268 ล้านบาท และมีรายได้รวม 13,707 ล้านบาท
น.ส.ธีรดา กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/59 คาดว่าจะออกมาสูงกว่าไตรมาส 3/58 เนื่องจากราคาขายและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น และเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/59 ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2/59 รายได้จากการขายรวมอยูที่ 6,692 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3/58 รายได้รวมอยู่ที่ 6,385 ล้านบาท
ปัจจุบันมีผู้บริโภคหันมาบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น หลังน้ำมันปาล์มมีราคาแพงและขาดตลาด ดังนั้น บริษัทจึงเน้นผลิตเพื่อขายในประเทศให้เพียงพอก่อน ซึ่งปริมาณขายน้ำมันถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นทั้งในตลาดค้าปลีกในประเทศ และตลาดน้ำมันอุตสาหกรรม ขณะที่การขายกากถั่วเหลืองก็เติบโตดีจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ที่ขยายตัวตามการส่งออกเนื้อไก่ที่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต (วัตถุดิบ) อยู่ที่ 6,000 ตัน/วัน ซึ่งจะผลิตเป็นน้ำมันถั่วเหลืองได้ 18-19% และกากถั่วเหลืองได้ 74-75% ของการผลิต โดยปัจจุบันมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 85%
นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะไปตั้งโรงงานสกัดน้ำมันถั่วเหลืองในเมียนมา เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดและต้นทุนการผลิตต่ำ รวมถึงยังไม่มีโรงงานสกัดน้ำมันถั่วเหลืองเช่นเดียวกับกัมพูชา และลาว ขณะที่ในไทยมีโรงสกัดน้ำมันอยู่แล้ว ซึ่งก็เพียงพอขายในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน แต่การลงทุนในเมียนมา คาดว่าคงจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรเพราะต้องมีความชัดเจนในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน ,ท่าเรือ โดยปัจจุบันบริษัทนำสินค้าไปวางจำหน่ายในเมียนมาอยู่แล้ว ได้แก่ น้ำมันองุ่น
"การตั้งโรงงานในเมียนมา ฝ่ายพัฒนาธุรกิจศึกษาอยู่ยังไม่สรุป เพราะก็มองเป็นโอกาสเพราะจำนวนประชากรเยอะ"น.ส.ธีรดา กล่าว
น.ส.ธีรดา กล่าวอีกว่า สำหรับแผนงานปี 60 จะมีการประชุมภายในบริษัทเดือนพ.ย.นี้ เพื่อกำหนดแผนงานและเป้าหมาย ซึ่งปกติบริษัทจะตั้งเป้าปริมาณขายเติบโต 5-7% ต่อปี แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนเพราะหากผลปาล์มออกมามาก ราคาก็จะถูกลง ก็จะทำให้น้ำมันถั่วเหลืองไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่บริษัทก็สามารถส่งออกไปขายต่างประเทศแทนขายในประเทศได้