โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ แนะนำ"ซื้อ"และ"ซื้อเก็งกำไร" หุ้นบมจ.ไทยออยล์ (TOP) มองผลกำไรปีนี้จะดีกว่าคาด พร้อมปรับประมาณการใหม่เป็น 17,667-17,676 ล้านบาท เติบโตราว 45% จากปีก่อน เนื่องจากคาดกำไรสต็อกน้ำมันเพิ่มขึ้น จากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวขึ้น และการปรับเพิ่มการใช้กำลังการผลิตจาก 100% เป็น 107% รวมทั้งส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์พาราไซรีน (PX) ที่ดีขึ้น
ส่วนกำไรในไตรมาส 3/59 คาดว่าจะยังไม่สดใส โดยกำไรจากการดำเนินงานจะอ่อนตัวจากไตรมาสก่อนและงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามค่าการกลั่นที่ปรับตัวลดลง ขณะที่กำไรในธุรกิจอะโรเมติกส์ทรงตัว อย่างไรก็ตาม กำไรในไตรมาส 4/59 จะฟื้นตัวที่ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น
ราคาหุ้น TOP พักเที่ยงอยู่ที่ 71.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท (+2.15%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ปรับขึ้น 0.15%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) บัวหลวง ซื้อ 80.00 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 79.00 แอพเพิล เวลธ์ Trading Buy 77.00 กสิกรไทย ซื้อ 76.75 โกลเบล็ก ซื้อเก็งกำไร 76.00 เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ Trading Buy 75.00 ฟิลลิปฯ ทยอยซื้อ 73.00
นักวิเคราะห์จาก บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายใหม่สำหรับหุ้น TOP เป็น 76 บาท จากเดิม 71 บาท เพราะมองว่าผลประกอบการในปีนี้จะดีกว่าคาดเมื่อต้นปี ขณะที่ผลประกอบการของปี 60 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากกำไรสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลง อีกทั้งคาดว่าจะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากธุรกิจโรงกลั่นจนหมดทำให้ต้องกลับมาจ่ายภาษีในอัตรา 20%
พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรปีนี้มาที่ระดับ 17,667 ล้านบาท เติบโต 45% จากปี 58 จากเดิมคาดไว้มีกำไร13,898 ล้านบาท เติบโต 14% จากปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวดีขึ้นกว่าคาดไว้เมื่อต้นปีที่ 39-52 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ขณะนี้ราคาเคลื่อนไหว 43-52 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะอุปทานส่วนเกินลดลง แท่นสำรวจและผลิตปิโตรเลียมลดลง และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) มีแนวโน้มจะปรับลดการผลิตได้เหลือ 32.5-33.00 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งมีจำนวนใกล้เคียงกับความต้องการใช้
ดังนั้น ทำให้ TOP ได้รับผลดีที่จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน (stock gain) คาดว่าปีนี้จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันประมาณ 6 พันล้านบาท ขณะที่ค่าการกลั่นในไตรมาส 4 คาดว่าจะทรงตัวหรือฟื้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2-3 นี้ มีค่าการกลั่น 4-5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น้อยกว่าไตรมาส 1/59 มีค่าการกลั่นดีมากที่ระดับ 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ส่วนในปี 60 คาดว่า TOP จะมีกำไร 15,534 ล้านบาท เพิ่มจากเดิมที่คาดไว้ในระดับ 14,443 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 8% แต่กำไรน่าจะลดลง 5% จากปี 59 เพราะกำไรจากสต็อกน้ำมันอาจจะไม่สูงเท่าปีนี้ หรือมีจำนวน 2.4 พันล้านบาท อีกทั้งได้รับผลกระทบจากการกลับมาจ่ายภาษีในอัตราปกติ
ด้านนายสุทธิชัย คุ้มวรชัย นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 3/59 ของ TOP ลดลงตามค่าการกลั่น หากไม่รวมรายการพิเศษและผลจากสต็อก โดยกำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ 2,973 ล้านบาท ลดลง 32.1% จากงวดปีก่อน และลดลง 13.3% จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการใช้กำลังการผลิตโรงกลั่นที่ลดลงเป็น 2.92 แสนบาร์เรล/วัน ลดลง 1.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 2.5% จากไตรมาสก่อน
ด้านค่าการกลั่นของตลาด (Market GRM) ลดลง 34.8% จากงวดปีก่อน และลดลง 2.3% จากไตรมาสก่อน เป็น 4.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่กำไรจากธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงเป็นเวลา 1 เดือน แต่ได้ชดเชยบางส่วนจากธุกิจอะโรเมติกส์ที่มีส่วนต่างราคาเพิ่มขึ้น คาดว่ากำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน (Market GIM) เท่ากับ 7.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 7.7% จากงวดปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 4.3% จากไตรมาสก่อน
"คาดว่ากำไรในไตรมาส 3/59 ไม่ค่อยดี เพราะค่าการกลั่นลดลง และขาดทุนสต็อกน้ำมัน แต่ไตรมาส 4/59 แนวโน้มดูดีขึ้น ค่าการกลั่นฟื้นตัว"นายสุทธิชัย กล่าว
ทั้งนี้ ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 59 ขึ้น 18.1% เป็น 17,676 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลจากการปรับเพิ่มการใช้กำลังการผลิตจาก 100% เป็น 107% ส่วนต่างราคา PX-ULG95 จาก 250 เหรียญสหรัฐ/ตัน เป็น 310 เหรียญสหรัฐ/ตัน สะท้อนส่วนต่างในงวด 9 เดือนแรกปีนี้ที่ดีกว่าคาดและการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มจาก 1,700 ล้านบาทเป็น 2,000 ล้านบาท
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ คาดว่า TOP จะมีกำไรในไตรมาส 3/59 อ่อนตัว โดยคาดว่ามีกำไรสุทธิ 2,982 ล้านบาท ลดลง 62% จากไตรมาสก่อน แต่ดีขึ้นจากไตรมาส 3/58 ที่ขาดทุนสุทธิ 2,290 ล้านบาท กำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มีสาเหตุหลักมาจาก กำไรในธุรกิจโรงกลั่นและน้ำมันหล่อลื่นชะลอลง ตามค่าการกลั่นที่ลดลง คาดว่าจะอยู่ที่ราว 4.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขาดทุนสต็อกน้ำมัน (รวม NRV) ราว 0.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล บวกกับโรงงานน้ำมันหล่อลื่นปิดซ่อมตามแผน 31 วัน ระหว่างวันที่ 20 ส.ค.-19 ก.ย.59 ทำให้ปริมาณผลิตลดลง และต้นทุนผลิตสูงขึ้น จากค่าซ่อมบำรุงที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์ คาดกำไรทรงตัวจากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างของ PX และเบนซีน (BZ) ยังดี
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/59 คาดว่ากำไรจะฟื้นตัว โดยคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบต่อไตรมาส ตามค่าการกลั่นที่คาดว่าสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันปรับขึ้นมาเป็น 5.29 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ได้รับแรงผลักดันจากส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซล และน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นเป็น 11.7 เหรียฐสหรัฐ/บาร์เรล นับตั้งแต่ต้นไตรมาสจนถึงปัจจุบัน จากระดับ 10.93 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 3/59 และส่วนต่างราคาน้ำมันเตากับน้ำมันดิบดูไบที่ติดลบ 4.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล นั้นยังอยู่ในระดับดี แม้สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ติดลบ 4.27 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทั้งนี้ คาดการณ์กำไรในไตรมาส 4/59 ดังกล่าวยังไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน
ทั้งนี้ คงประมาณการปี 59-60 โดยหากกำไรไตรมาส 3/59 เป็นไปตามที่คาด จะทำให้กำไรในงวด 9 เดือนแรก เท่ากับ 15,461 ล้านบาท คิดเป็น 88% ของประมาณการทั้งปีนี้ แต่ยังคงกำไรปี 59-60 เดิมที่ 17,562-17,969 ล้านบาท ซึ่งเป็นประมาณการอย่างระมัดระวัง