บมจ.ออลล่า (ALLA) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้นที่หุ้นละ 2.88 บาท พร้อมทั้งแต่งตั้ง บล. โนมูระ พัฒนสิน เป็นผู้จัดการการจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น (อันเดอร์ไรท์เตอร์) พร้อมด้วยบริษัทผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายอีก 6 แห่ง ประกอบด้วย บล.ฟินันเซีย ไซรัส บล.โกลเบล็ก บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) บล.เคที ซีมิโก้ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) และ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)
ALLA เป็นผู้ผลิต จำหน่าย และติดตั้งเครนและรอกไฟฟ้า (Crane and Hoist) และเป็นผู้นำเข้า และจำหน่าย พร้อมติดตั้ง สะพานปรับระดับ (Loading Dock Leveler) ประตูอุตสาหกรรม (Industrial Door) ม่านริ้วพีวีซี (PVC Strip Curtain) และม่านตัดอากาศ (Air Curtain) รวมถึงการให้บริการหลังการขาย เช่น งานซ่อม งานเปลี่ยนอะไหล่ งานบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) และบริการศูนย์ฝึกอบรมผู้ใช้เครน โดยมีกลุ่มลูกค้าในธุรกิจ และอุตสาหกรรมที่หลากหลายเช่น กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง กลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า และธุรกิจต่าง ๆ เป็นต้น
นายธวัชชัย วรวรรณธนะชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ ALLA กล่าวว่า การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ ALLA ตั้งอยู่บนพื้นฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่ง และด้วยองค์ประกอบของบริษัทฯที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการเป็นผู้ผลิต จำหน่าย และติดตั้งอุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุอุปกรณ์และสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม และคลังสินค้าต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญต่อภาคการผลิต และขนส่งในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และเป็นธุรกิจที่มีโอกาสขยายตัวตามความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต โดยการระดมทุนในครั้งนี้บริษัทฯมีแผนที่จะใช้เงินจากการระดมทุนในการขยายคลังสินค้า และโรงงาน
“ALLA เป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจ เพราะอยู่ในธุรกิจเครน และรอกไฟฟ้ามากว่า 20 ปี และถือเป็นอันดับต้น ๆ ในธุรกิจนี้ และที่สำคัญทีมงานผู้บริหารเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ และมีวิสัยทัศน์ รวมถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจเพื่อรองรับตลาดที่ขยายตัวในอนาคต ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการลงทุนของประเทศ”นายธวัชชัย กล่าว
นายนิมิต วงศ์จริยกุล กรรมการบริหาร บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า หุ้นไอพีโอของ ALLA จะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 31 ต.ค.-2 พ.ย.59 และคาดว่าจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 8 พ.ย.59 ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับ จากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากในช่วงนำเสนอข้อมูลหลักทรัพย์ หรือ โรดโชว์ 4 จังหวัดได้แก่ขอนแก่น เชียงใหม่ หาดใหญ่ และกรุงเทพมหานคร ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนจำนวนมาก
“การโรดโชว์ 4 จังหวัด และตามห้องค้าต่างๆ ได้รับการตอบรับที่ดีมาก และจากความเข้าใจธุรกิจ และแผนการขยายธุรกิจในอนาคตของบริษัท ประกอบกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และที่สำคัญสัญญาณการฟื้นตัวของการลงทุนในประเทศได้เริ่มมีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่จะส่งผลให้ ALLA เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” นายนิมิต กล่าว
ด้านนายองอาจ ปัณฑุยากร กรรมการผู้จัดการ ALLA กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ จะนำไปใช้ขยายธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัท โดยมีแผนก่อสร้างคลังสินค้าของบริษัทย่อย คือ บริษัท ออนวัลล่า จำกัด (ONVALLA) มูลค่าการลงทุน 80 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 3/60 ซึ่งจะช่วยให้มีพื้นที่ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และส่งผลให้ต้นทุนลดลง
พร้อมทั้งมีแผนขยายโรงงานของบริษัทเอง ภายใต้วงเงินลงทุนประมาณ 58 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างและดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ราวปี 61 ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตของบริษัทเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
นอกจากนั้น บริษัทยังมีแผนขยายกิจการในต่างประเทศ ด้วยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในอินโดนีเซีย มูลค่าลงทุนราว 10 ล้านบาท เพื่อขยายตลาดในกลุ่มธุรกิจเครนและรอกไฟฟ้า โดยจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจร่วมกับ PT.Wirya Krenindo Perkasa ซึ่ง ALLA จะเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 33% คาดว่าจะดำเนินการร่วมทุนเสร็จสิ้นและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 60
ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินที่มีอยู่ประมาณ 50-60 ล้านบาท คาดว่าจะชำระคืนเกือบทั้งหมด ซึ่งจะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทปรับตัวลดลง 0.78 เท่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 59
"การระดมทุนในครั้งนี้จะช่วยให้ ALLA มีศักยภาพทางธุรกิจที่สูงขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งใน และต่างประเทศ ซึ่งเราหวังว่าบริษัทจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจ และสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต"นายองอาจ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯในช่วง 3 ปีย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 2556-2558 มีดังนี้ รายได้จากการขายและบริการรวมปี 2556 จำนวน 924.10 ล้านบาท กำไรสุทธิ 189.90 ล้านบาท ส่วนปี 2557 มีรายได้จากการขายและบริการรวม 1,065.11 ล้านบาท กำไรสุทธิ 173.00 ล้านบาท ส่วนปี 2558 มีรายได้จากการขายและบริการรวม 870.27 ล้านบาท กำไรสุทธิ 100.62 ล้านบาทในขณะที่รายได้จากการขายและบริการรวมของช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 อยู่ที่ 292.03 ล้านบาท กำไรสุทธิ 28.89 ล้านบาท
นายองอาจ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 59 คาดว่าจะทำจุดต่ำสุด โดยลดลงจากปี 58 ที่มีรายได้จาการขายและบริการรวม 870.27 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 100.62 ล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว ทำให้การลงทุนชะลอตัวตาม ขณะที่บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจเครนประมาณ 60% สะพานปรับระดับ 20% และอีก 20% เป็นรายได้จากการให้บริการหลังการขาย
จากนั้นในปี 60 เชื่อว่าผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะมีการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น บริษัทได้เสนอราคารับงานโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศไปแล้วหลายโครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าขยะ และโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า เป็นต้น มูลค่างานเกินกว่า 1,000 ล้านบาท จะทยอยรู้ผลภายในปีนี้ถึงปีหน้า และเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/60 ถึงไตรมาส 4/60
อีกทั้งบริษัทฯยังมีแผนขยายตลาดในประเทศไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่าง อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า ,โรงงานน้ำตาล ,ปิโตรเคมี จากที่ผ่านมาบริษัทฯจะเน้นจำหน่ายในโรงงานอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นหลัก ส่วนในต่างประเทศก็ยังมีแผนขยายตลาดอาเซียนอย่างต่อเนื่อง
นายองอาจ กล่าวอีกว่า ราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 2.88 บาท/หุ้น ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสม และมีส่วนลดให้แก่นักลงทุนแล้ว โดยมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีในวันทำการซื้อขายในวันแรก