นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) เปิดเผยว่า ปริมาณการขายถ่านหินของบริษัทในปี 60 คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 45.4 ล้านตัน แม้ว่าแนวโน้มราคาขายถ่านหินจะสูงกว่าราคาขายเฉลี่ยในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 50 เหรียญ/ตัน หลังราคาถ่านหินในปัจจุบันได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วและได้ขยับขึ้นมาถึงระดับ 102 เหรียญ/ตันในปัจจุบัน จากปริมาณการผลิตของโลกที่เคยล้นตลาดเริ่มเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเน้นในเรื่องการลดต้นทุนการผลิตเป็นหลักมากกว่าการเร่งเพิ่มปริมาณการผลิตถ่านหินในช่วงที่ราคาถ่านหินไม่ได้สูงมากนัก
สำหรับการลงทุนอื่นๆในปี 60 นั้นบริษัทคาดว่าจะได้ข้อสรุปการเข้าซื้อกิจการในธุรกิจ Shale oil & gas ในสหรัฐฯเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่บริษัทมีสินทรัพย์ในธุรกิจดังกล่าวมูลค่ารวม 130 ล้านเหรียญสหรัฐ
นางสมฤดี กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมในธุรกิจดังกล่าวมองว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะปัจจุบันที่ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้บริษัทสามารถเข้าซื้อกิจการได้ในราคาที่ถูก ประกอบกับ สหรัฐฯเป็นตลาดที่ใหญ่ที่มีปริมาณการใช้ก๊าซสูง อีกทั้งเป็นตามวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ต้องการต่อยอดธุรกิจต้นน้ำ และมองหาโอกาสอื่นที่ช่วยลดความเสี่ยงจากปัจจุบันที่ราคาถ่านหินมีความผันผวน
นอกจากนั้นหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งรกของบมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BANPU นั้น BPP จะนำเงินที่ได้จากเสนอขาย IPO มาชำระคืนหนี้ให้แก่ BANPU มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทน ซึ่งจะทำให้หนี้ของ BANPU มีหนี้สินลดลงเป็นอย่างมาก และคาดว่าอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดลงเหลืออยู่ที่ 1 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.1 เท่า