โบรกเกอร์ส่วนใหญ่เชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) จากการบริหารจัดการภายในที่ดี โดยมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ต้นทุนทางการเงินลดลง และ NPL ก็ลดลงมาโดยตลอด แนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะออกมาดีขึ้น และทั้งปี 59 อาจถือได้ว่ามีกำไรที่ดีสุดเท่าที่เคยมีมา
ทั้งนี้ กำไรของ KTC ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งปกติเป็นฤดูกาลของการจับจ่ายใช้สอยสูงสุดของปีที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 59 ในช่วง 2,400-2,508 ล้านบาท เติบโตจากปี 58 ที่มีกำไรสุทธิ 2,073 ล้านบาท และปี 60 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิในช่วง 2,885-2,900 ล้านบาท เติบโตจากปีนี้
ราคาหุ้น KTC อยู่ที่ 150 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท (+0.33%) จากราคาปิดวานนี้
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เอเชีย เวลท์ ซื้อ 170.00 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 168.00 เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 160.00 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 160.00 ฟิลลิป (ประเทสไทย) ทยอยซื้อ 148.00 เออีซี ซื้อเมื่ออ่อนตัว 147.00
นายอดิศร มุ่งพาลชล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้เหตุผลที่แนะนำ"ทยอยซื้อ"หุ้น KTC ด้วยราคาเป้าหมาย 148 บาท/หุ้น เนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลัง (H2/59) น่าจะดีขึ้นไป แม้ว่าสินเชื่อชะลอตัวจากอดีต เป็นผลสืบเนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ปีนี้ KTC ถือว่ามีกำไรดีสุดเท่าที่เคยมีมา จากสินเชื่อที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งยังมีรายได้จากดอกเบี้ยและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น รวมถึงมีการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี
บล.ฟิลลิปฯ คาดการณ์กำไรสุทธิของ KTC ในปีนี้ที่ 2,500 ล้านบาท เติบโต 21% จากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 2,100 ล้านบาท และปี 60 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 2,900 ล้านบาท เติบโต 17% จากปีนี้
นอกจากนี้ KTC มีการบริหารการจัดการภายในที่ดี ทำให้ NPL ปรับตัวลดลงมาโดยตลอด ขณะที่สถาบันการเงินอย่างกลุ่มแบงก์จะเห็นได้ว่า NPL ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ส่วนนายสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า KTC เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีตัวหนึ่งจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลง และยังได้ผลดีจากการบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3/59 ด้วย ส่วนไตรมาส 4/59 ก็คาดว่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/59 ส่งผลให้กำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง คาดว่ากำไรจะเติบโตเฉลี่ย 18-19% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า (2560-2561)
ทั้งนี้ KTC มีการเติบโตของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง และยังมีการบริหารต้นทุนที่ดีด้วย ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิในปี 59 จะอยู่ที่ราว 2,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 58 ที่มีกำไรสุทธิ 2,073 ล้านบาท ส่วนในปี 60 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 2,885 ล้านบาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้น KTC ในปัจจุบันที่ 150 บาท คิดจาก P/E ปี 60 ที่ 13.3 เท่า ถือว่าราคาหุ้นในปัจจุบันยังไม่แพง
นอกจากนี้ ปีนี้ก็คาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 2.8% และปี 60 คาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 3%
ด้านบล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ฯคาดว่า กำไรของ KTC มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นฤดูกาลของการจับจ่ายใช้สอยสูงสุดที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทกำลังออกแคมเปญการตลาดเพื่อกระตุ้นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการโปรโมทอย่างต่อเนื่องในร้านค้าและร้านอาหาร และการขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดต่างจังหวัด
ดังนั้น มองว่า KTC มีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง เช่น KBANK ซึ่งจะเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้นจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น เป็นผลให้คู่แข่งเหล่านี้ตั้งงบค่าใช้จ่ายการตลาดลดลงสำหรับกลุ่มลูกหนี้บัตรเครดิต กลายเป็นโอกาสของ KTC ที่จะมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น พร้อมประมาณการกำไรสุทธิปี 59 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ระดับ 17.2% โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิที่ 2,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 2,073 ล้านบาท
สำหรับ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุใบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น KTC ให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 160 บาท แม้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงและอาจดูแพง แต่ยังชื่นชอบแนวโน้มการดำเนินงานของ KTC
พร้อมคาดกำไรเติบโต +21% / +17% ในปีนี้และปีหน้า โดยกำไรช่วง 9 เดือนแรกเติบโต +21%YoY และคิดเป็น 74% ของคาดการณ์ใหม่ จึงคาดว่าในไตรมาสสุดท้ายกำไรจะยิ่งดีขึ้น เนื่องจากเป็นฤดูกาลใช้จ่ายผ่านบัตร แม้อาจกระทบบ้างจากปัจจัยในประเทศและค่าใช้จ่ายการตลาดที่เร่งตัวขึ้นตาม แต่ยังน่าจะแสดงการเติบโตระดับเดิม คือมากกว่า +20%YoY ได้
และยังคาดว่า KTC จะรักษาการเติบโตระดับมากกว่า 15%YoY ในปีต่อ ๆ ไป เนื่องจากฐานสมาชิกบัตรใหญ่ขึ้น การขยายสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งให้ Yield สูง มากขึ้น และต้นทุนการเงินต่ำลง
ทั้งนี้ ได้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 59 ไว้ที่ 2,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 2,073 ล้านบาท