นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า คาดหุ้นไทยอ่อนตัวลงตามตลาดหุ้นโลกที่ปรับตัวลดลงไปแล้วก่อนหน้านี้ ท่ามกลางความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่สูงขึ้น เช่น ทองคำ เงินสกุลเยนของญี่ปุ่น และตั๋วเงินคลังสหรัฐฯ หลังจาก FBI เตรียมรื้อคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี่ คลินตัน ที่จะเป็นการเพิ่มโอกาสการชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งชัยชนะของ ทรัมป์ อาจนำไปสู่ความผันผวนและความไม่แน่นอนในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ รวมไปถึงข้อตกลงการค้าต่างประเทศ
ด้านตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของสหรัฐฯ เบื้องต้นในงวดไตรมาส 3/59 ขยายตัวดีมากกว่าที่ตลาดคาดที่ 2.9% อาจเป็นปัจจัยสำคัญสุดท้ายให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. นี้ และยังต้องติดตามผลประกอบการไตรมาส 3/59 ของบริษัทสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อตลาดหุ้น Wall street รายวัน และตลาดหุ้นอื่นๆ ซึ่งคาดว่าไตรมาส 3 และ 4 น่าจะออกมาเป็นบวก และติดตามตัวเลข Non-farm payroll ในวันที่ 4 พ.ย.59
นอกจากนี้ สัปดาห์นี้ยังต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางหลายแห่ง ทั้งเฟด ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และออสเตรเลีย ประชุมวันที่ 1 พ.ย. และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ประชุมวันที่ 3 พ.ย. คาดว่ายังจะไม่ออกมาตรการใดๆ ในช่วงนี้
ด้านจีนมีปัญหาค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง จากข่าวเชิงลบของผลประกอบการของภาคอุตสาหกรรมที่ลงมาเหลือ 8% จากมากกว่า 10% ก่อนหน้านี้ และภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ชะลอลงเพราะภาครัฐบาลเหยียบเบรกกั้นไม่ให้ปล่อยสินเชื่อเนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นเร็วเกินไป
ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวลง หลังจากตลาดกลับมากลัวว่า OPEC จะไม่อาจทำให้ผู้ผลิตน้ำมันหลายประเทศลดกำลังผลิตลงได้ และ Supply ยังคงเกินอยู่มาก
ปัจจัยในประเทศ ติดตามผลประกอบการไตรมาส 3/59 ซึ่งเท่าที่ออกมายังคงเป็นบวก และปัจจัยสำคัญอยู่ที่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 1 พ.ย. นี้ เพื่ออนุมัติโครงการรถไฟรางคู่ มูลค่ารวมกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท ที่จะเป็นการส่งสัญญาณการเริ่มต้นโครงการเมกะโปรเจคของภาครัฐ ทั้งนี้ คาดกรอบ SET Index ที่ 1,486-1,505 จุด
สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ แนะนำซื้อหุ้นของ บมจ. ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) คาดว่าบริษัทจะยังมีแนวโน้มที่สดใสในช่วงที่เหลือของปีนี้รวมถึงปีหน้า แม้ในไตรมาส 3/59 บริษัทรายงานการเติบโตของกำไรสุทธิเพียงเล็กน้อยที่ 0.7% QoQ และ 1.7% YoY อยู่ที่ 218 ล้านบาท แต่การเติบโตในระดับต่ำดังกล่าวไม่ได้เกิดจากรายได้จากการดำเนินงานที่ลดน้อยลงแต่อย่างใด แต่เกิดจากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองที่สูงขึ้นเพื่อรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจรวมถึงกฎระเบียบของทางการในอนาคต ซึ่งบริษัทคาดว่าจะพิจารณาตั้งสำรองเพิ่มเติมในไตรมาส 4/59 และในไตรมาสต่อๆ ไป เพื่อเตรียมตัวสำหรับมาตรฐานบัญชีใหม่ หรือ IFRS 9 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2562
THANI มีแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่ออย่างแข็งแกร่ง โดยบริษัทประมาณการว่าสินเชื่อจะเติบโต 10% และ 15% ในปี 59 และ 60 ตามลำดับ จากความต้องการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ และการเติบโตการค้าชายแดน คาดการณ์กำไรสุทธิจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 14.3% ในปี 59 และ 21.3% ในปี 60 โดยมีราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐานที่ 6.20 บาท
ด้าน Technical รูปแบบราคามีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มขาขึ้น จากการเกิดทั้งสัญญาณซื้อรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน โดยรูปแบบราคายังคงบ่งบอกถึงแนวโน้มที่จะได้เห็นการทำ New High ของ THANI ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 6.30 บาท