นายผยง ศรีวณิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย (KTB) ลั่นพร้อมเข้ารับตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย (KTB) ในวันที่ 8 พ.ย.59 จะเป็นการสานต่อวิสัยทัศน์และกระบวนการทำงานของนายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ KTB ที่กำลังจะหมดวาระในวันที่ 7 พ.ย. 59 เพื่อผลักดันให้ธาคารกรุงไทยมีการเติบโตอย่างยั่งยืน แต่จะไม่เร่งมากจนเกินไป โดยจะพิจารณาความเหมาะสมของศักยภาพบุคคลากรในองค์กร ความพร้อมของธนาคาร และภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้น ๆ ประกอบกัน
ธนาคารยังยืนยันความสำคัญในการให้บริการลูกค้าอย่างมีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น รวมทั้งดำเนินภารกิจที่มีความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะ National e-Payment ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนให้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในระบบการชำระเงิน และการใช้ฟินเทคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ สร้างความสะดวกและตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารจะนำเสนอแผนดำเนินงานของปี 60 ต่อกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาภายในเดือน พ.ย.นี้ โดยยังคงเน้นการเติบโตมั่นคงและยั่งยืน
“สำหรับการทำงานของผมนั้นก็จะเป็นการสานต่อสิ่งที่คุณวรภัคได้ทำไว้แล้วมาทำต่อให้สมบูรณ์และต่อยอด ซึ่งยังมีอะไรที่ยังต้องทำอีกเยอะ แต่คุณวรภัคก็ได้สร้าง Infrastructure ไว้เยอะและสร้างสุขภาพของธนาคารกรุงไทยที่แข็งแรงแล้ว ซึ่งผมก็ต้องมาสานต่อ ในภาพกว้างๆก็ยังต้องมีการทำให้ธนาคารเติบโตอย่างยั่งยืน แต่เราจะไม่เหยียบคันเร่งมาก เราต้องมีความสมดุลดูองคาพยพและสภาวะแวดล้อมต่างๆ แต่การบริการลูกค้าก็ยังคงต้องมีคุณภาพ รวมไปถึงการดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้สอดคล้องกับการสนับสนุนของภาครัฐ ซึ่งแผนการดำเนินงานของธนาคารกรุงไทยในปีหน้าก็จะมีการนำเสนอต่อกระทรวงการคลังในเดือนพฤศจิกายนนี้"นายผยง กล่าว
ด้านนายวรภัค กล่าวถึงการทำงานในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ KTB ในวาระ 4 ปีก่อนจะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 8 พ.ย.59 นี้ว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการปรับเปลี่ยนระบบการทำงานต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบการจัดการทรัพยากรบุคคล (Human Resource) และระบบการติดตามข้อมูล (Data) อย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานของพนักงานของธนาคารที่ใช้ผลงานเป็นตัวประเมินผลในเรื่องของผลตอบแทนและความก้าวหน้าทางการงานให้มีความความสัมพันธ์กับผลงานและศักยภาพของพนักงานแต่ละคน รวมไปถึงการกระจายอำนาจให้กับผู้บริหารระดับต่างๆ รวมไปถึงการปรับทัศนคติของพนักงานให้เสมือนเป็นเจ้าขององค์กร มีการสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง
พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ของธนาคารกรุงไทยจาก “ธนาคารสะดวก ชีวิตสบาย เน้นการบริการ" เป็น “กรุงไทย ก้าวไกล ไปกับคุณ" หรือ “Growing Together" เพื่อให้พนักงานเกิดประสิทธิภาพและมีความสามารถในการดูแลลูกค้า ช่วยลูกค้าให้มีการเติบโตอย่างมั่งคั่งและมั่นคง และการเติบโตของลูกค้าก็จะเป็นการเติบโตไปพร้อมกับธนาคารและพนักงานทุกคน รวมไปถึงสร้างการเติบโตให้กับประเทศด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการจัดการพนักงานหน้าบ้านและหลังบ้านให้อยู่ในสัดสวน 70:30 เพื่อทำให้มีพนักงานที่มีส่วนในเรื่องการให้บริการและขายมากขึ้น ซึ่งช่วยเสริมสร้างรายได้ให้กับธนาคาร ประกอบกับมีการติดตามข้อมูลอย่างรวดเร็ว โดยมีการส่งรายงานข้อมูลของแต่ละสาขาทุกวัน และมีการประชุมกันทุก 8 โมงเช้าทุกวัน เพื่อการติดตามผลงานของพนักงานแต่ละคน
ขณะเดียวกันการพัฒนาศักยภาพของผลการดำเนินงานไปควบคู่กัน โดยได้มีการกระจายกลุ่มลูกค้าไปสู่กลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีและรายย่อยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มลุกค้าที่ให้ผลตอบแทนสูง จากเดิมที่ธนาคารมีกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐและผู้ประกอบการขนาดใหญ่ โดยในส่วนการให้บริการผู้ประกอบการรายใหญ่ธนาคารได้หันมาเน้นให้หันมาใช้บริการอื่นๆของธนาคารนอกเหนือจากการบริการทางสินเชื่อเพียงอย่างเดียว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการให้บริการนั้นส่งผลทำให้รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้กำไรก่อนการตั้งสำรองของธนาคารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การป้องกันความเสี่ยงของธนาคารยังคงมีการให้ความสำคัญในเรื่องของการควบคุม NPL และการตั้งสำรอง โดยมีการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น เพื่อทำให้ระดับ Coverage Ratio ของธนาคารมีความแข็งแกร่ง ประกอบกับการรักษาการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในระดับที่เหมาะสม
“ความภูมิใจสูงสุดที่ได้เข้ามาทำงานที่ธนาคารกรุงไทยนอกจากการต้อนรับที่ดีแล้ว คือ ความร่วมมือและการยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสหภพกรุงไทยและพนักงานทุกคนของธนาคาร แต่การที่จะทำให้เขายอมรับได้นั้นเราต้องฉายภาพให้เขาเห็น ทำให้เขาเกิดการยอมรับ ซึ่งผมต้องยอมรับว่าสหภาพกรุงไทยมีความแข็งแกร่งมาก แต่เขาก็มีความร่วมมือกับการเปลี่ยนแปลงของผมเป็นอย่างดี เพราะเขาเห็นภาพเช่นเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่ในช่วงท้ายๆเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกมีการผงกหัวลง ทำให้สิ่งที่ผมลงมือทำเพื่อประโยชน์ของธนาคารอาจจะเห็นผลช้าไป ซึ่งมาถึงช่วงการเปลี่ยนผ่านให้กับคุณผยงไปสานต่อและต่อยอดในสิ่งที่ผมยังทำไม่สมบูรณ์ ซึ่งผมเชื่อฝีมือของคุณผยง ซึ่งแม้มาอยู่ธนาคารกรุงไทยไม่ถึง 2 ปี แต่ก็เป็นที่ยอมรับขององค์กร ซึ่งคุณผยงเข้าไปคุยกับสหภาพกรุงไทยรู้เรื่องโดยที่ผมไม่ต้องเข้าไปคุยด้วย
การทำงานในวาระของคุณผยงผมก็อยากไม่ให้มีการแทรกแซงทางการเมืองเกืดขึ้น เหมือนกับในวาระที่ผมอยู่มา 4 ปี ที่ไม่มีการแทรกแซงทางการเมืองเกิดขึ้นเลย เพราะผมได้ขอตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานแล้วว่าไม่อยากให้มีการแทรกแซงทางการเมืองในการแต่งตั้งผู้บริหารระดับกลางละสูง รวมไปถึงการโยกย้ายต่างๆ ผมอยากให้คนมีฝีมือจริงๆเข้ามาทำงาน เพื่อผลักดันองค์กรให้เติบโต"นายวรภัค กล่าว