นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (7-11 พ.ย.) ว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ (8 พ.ย.) เป็นตัวแปรสำคัญ ที่จะชี้ทิศทางเศรษฐกิจและการเมืองของโลก รวมถึงราคาสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ แม้นางฮิลลารี จะมีประเด็นในเรื่องการใช้ email ที่อาจมีผลต่อคะแนนที่จะออกมา แต่ผลสำรวจส่วนใหญ่รวมทั้ง บล.KTBST ยังคงเชื่อว่า นางฮิลลารี่ จากพรรคเดโมแครต น่าจะชนะการเลือกตั้งเหนือนายทรัมป์ได้ ผลสำรวจ โดย http://www.realclearpolitics.com/ ซึ่ง ณ 6 พ.ย. เวลา 14.15 น. ตามเวลาในประเทศไทย ระบุว่า นางฮิลลาร์รีมีคะแนนนำ 46.6% ต่อ 44.9% และมีชัยชนะใน 216 ต่อ 164 เขตเลือกตั้ง หากผลออกมาว่านางฮิลลารีชนะ จะทำให้ตลาดทั่วโลกพลิกมาเป็นบวกในทันที คือกลับขึ้นไปอยู่ในระดับของวันศุกร์ที่ 28 ต.ค. ซึ่งเป็นวันก่อนที่ตลาดจะมีความกังวลในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม หากนายทรัมป์พลิกมาชนะ จะเป็นลบต่อตลาดเช่นกัน เนื่องจากนโยบายทั้งเศรษฐกิจและการทหาร ที่อาจเปลี่ยนโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศของโลกได้เลย และนโยบายทางการทหารที่เปลี่ยนไป จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อบทบาทของสหรัฐฯในการที่เป็นผู้นำของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ประเมินว่า ผลกระทบต่อตลาดจะมีในช่วงสั้นๆ เนื่องจากท้ายที่สุดแล้วนโยบายทั้งหลายที่ถูกมองเป็นลบ หากเมื่อต้องการนำมาปฎิบัติจริง สมาชิกของรีพับรีกันทั้งสองสภาฯ อาจไม่ได้เห็นพ้องไปซะทุกเรื่อง คือจะทำในบางส่วนเท่านั้น และไม่น่าจะเปลี่ยนอะไรได้มากจนเป็นลบอย่างที่กลัวกัน
ดังนั้น จนกว่าจะทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือมีความชัดเจนต่อผลการเลือกตั้ง (รู้ผลวันพุธ) นักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะชะลอการลงทุนเพื่อรอดูผล ซึ่งจะทำให้ทิศทางตลาดมีความผันผวนในกรอบแคบ (ที่ระดับประมาณ 1,477-1,509 จุด
แต่หลังจากนั้นคาดว่าจะมีการขึ้น-ลง ที่รุนแรงขึ้น หากผลออกมาว่านางฮิลลารีชนะการเลือกตั้ง ดัชนีฯจะดีดตัวกลับขึ้นไปในทันที แต่หากตรงกันข้าม คือ นายทรัมป์ชนะ ดัชนีฯจะปรับตัวลดลงในช่วงสั้นๆ อาจเห็นถึงระดับ 1,451 จุด ก็เป็นได้ โดยรวมภาพตลาดสัปดาห์นี้จะถูกชี้นำด้วยเรื่องการเลือกตั้งสหรัฐฯเป็นหลัก
"การซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ ประเมินว่า การปรับพอร์ตเพื่อรับกับทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ความไม่นอนเรื่องนโยบายน QE หรือนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางต่างๆ จะยังมีต่อเนื่องไปอีกนานขนาดไหนหากสหรัฐฯเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ย หรือผลการเลือกตั้งที่เปลี่ยนไป รวมทั้งปัจจัยในประเทศบางตัวที่ยังไม่ชัดเจนนัก หากนางฮิลลารีชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี การขายของนักลงทุนกลุ่มนี้ จะค่อยเป็นค่อยไป หุ้นกลุ่มที่เสี่ยงจะถูกขาย จะเป็นกลุ่มที่ขาดปัจจัยหนุน กลุ่มมีความเสี่ยงในอนาคต หรือนักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อไว้มาก ในกลุ่ม ธนาคาร (NPLs + ความไม่มั่นคงในเรื่องรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย) , กลุ่มน้ำมัน (เสี่ยงเรื่องการปรับลดการผลิตที่ยังไม่ลงตัว) และผู้ประกอบการโทรศัพท์ (การแข่งขันและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นมาก)"นายวินกล่าว
ขณะที่การรายงานงบการเงินไตรมาส 3 ณ 4 พ.ย.59 จากการเก็บรวบรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของบริษัทใน SET-MAI 49 บริษัท หรือ 7% ของบริษัททั้งหมด มีกำไร 8.86 หมื่นลบ. +267% YoY และ +0.4% QoQ กำหนดส่งงบวันสุดท้าย คือเช้า 15 พ.ย. สัปดาห์นี้ จะเป็นสัปดาห์ที่จะมีการส่งงบกันเป็นจำนวนมาก และจะมีผลต่อตลาดมากเช่นกัน KTBST ประเมินบริษัทใน SET จะมีกำไรไตรมาส 3 อยู่ที่ 2.39 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่กำไร 1.2 หมื่นลบ. และลดลง 2.8% QoQ
สำหรับกลยุทธ์ลงทุนในสัปดาห์นี้ว่า แม้จะมีการคาดการณ์ว่า นางฮิลลารี น่าจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ แต่เราแนะนำให้รอดูผลการเลือกตั้งสหรัฐฯก่อน เพราะถึงจะเป็นข่าวดีแต่หุ้นจะขึ้นไม่แรงนัก เนื่องจากดัชนีฯลงมาไม่ถึง 20 จุด ขณะเดียวกัน ควรพร้อมที่จะรับผลหรือตัดสินใจต่อผลการเลือกตั้งที่จะออกมา ไม่ว่าจะเป็นซื้อหรือขาย โดยเฉพาะฝั่ง “ซื้อ" นอกจากหุ้นที่น่าสนใจจะเป็นหุ้นที่ราคาลงมามากในช่วง 3 วันที่ผ่านมา (พุธ-ศุกร์) บล.KTBST แนะนำให้เน้นหุ้นที่เป็น Domestic Play หรือมีธุรกิจในประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐไว้ก่อน (ยกเว้นกลุ่มธนาคาร)
หุ้นที่แนะนำในสัปดาห์นี้ แบ่งกลุ่มดังนี้ หุ้นกลุ่ม SET100 ที่คาดว่าจะเป็นบวกถ้าฮิลลารี่ชนะ ได้แก่ CPF,TU,PTT หุ้นรับผลบวกการลงทุน-ใช้จ่าย ภาครัฐได้แก่ STEC,CPALL,INET หุ้นที่มีประเด็นบวกอื่นๆ หรือราคาลงมามากได้แก่ MEGA,BLA,IVL มองกรอบดัชนีในสัปดาห์นี้ที่ 1,451-1,521 จุด