นายมารุต แสงศาสตรา กรรมการ บมจ.ไดนาสตี้เซรามิค (DCC) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทตั้งเป้าปี 60 รายได้รวมเติบโต 10% จากปีนี้ที่คาดว่ารายได้จะทำได้ตามเป้าหมายที่กว่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ปริมาณการขายที่จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 60 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.) จากปีนี้น่าจะมีปริมาณขายราว 56 ล้าน ตร.ม.
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มเตาเผาอีก 3 เตา ซึ่งจะทำให้สิ้นปี 60 กำลังการผลิตรวมเพิ่มเป็น 80 ล้าน ตร.ม./ปี จากสิ้นปี 59 อยู่ที่ 70 ล้าน ตร.ม./ปี ทั้งนี้ เพื่อรองรับขยายตลาดต่างประเทศ พม่า กัมพูชา ลาว และตลาดในประเทศที่เน้นกลยุทธ์รุกเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น
"ปี 60 ตั้งเป้ารายได้รวมโต 10% จากปีนี้ ในส่วนของปริมาณขายก็น่าจะเติบโตใกล้เคียงกัน อย่างปี 59 ปริมาณขายน่าจะจบที่ 56 ล้านตารางเมตร ปี 60 ก็จะประมาณ 60 กว่าล้านตารางเมตร"นายมารุต กล่าว
นายมารุต กล่าวว่า บริษัทเตรียมงบลงทุนในปี 60 รวมกว่า 600 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินสร้างสาขาใหม่เพิ่มอีก 7 สาขา จากปัจจุบันอยู่ที่ 193 สาขา โดยจะเน้นทำเลในต่างจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่รอบนอกเขตเมือง และเพิ่มเตาเผาอีก 2 เตา หลังจากปลายปีนี้เพิ่ม 1 เตา ขนาดกำลังการผลิตที่ 3 แสน ตร.ม./เดือน จากนั้นต้นไตรมาส 2/60 เพิ่มอีก 1 เตา และไตรมาส 3/60 อีก 1 เตา ก็จะส่งผลให้สิ้นปี 60 มีกำลังการผลิตรวม 80 ล้าน ตร.ม./ปี จากสิ้นปีนี้ที่ 70 ล้าน ตร.ม./ปี
สำหรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นการรองรับเป้าหมายในปี 60 ที่บริษัทจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ตลาดในประเทศเป็น 41-42% จากปีนี้ขยับขึ้นมาที่ 36-38% จากปี 58 อยู่ที่ 32-33% เป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่แตกต่างจากคู่แข่งที่เน้นการขยายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายและโมเดิร์นเทรด ซึ่งก็ไม่ครอบคลุมตลาดทั้งหมด แต่ของบริษัทเน้นขายเอง
นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายลูกค้าตลาดบ้านใหม่ในปี 60 เพิ่มเป็น 40% และตลาดซ่อมแซม 60% จากปัจจุบันตลาดบ้านใหม่อยู่ที่ระดับ 20% และตลาดซ่อมแซม 80%
"ปี 60 ปัจจัยที่จะทำให้เติบโตได้อีก คือจากการกินส่วนแบ่งการตลาดมาเรื่อยๆ เมื่อก่อน DCC เป็นตลาดซ่อมแซม 100% ก็จะลุยตลาดบ้านใหม่มากขึ้น เพราะตลาดซ่อมแซมกับตลาดบ้านใหม่ในประเทศใกล้เคียงกัน เราก็ไม่ได้เสียมาร์เก็ตแชร์ตลาดซ่อมแซมไปแต่กลับโตต่อเนื่อง ยอดขายผู้รับเหมาฯก็โตขึ้นสวนทางกับทุกอย่าง และโตจากการขยายสาขาเพิ่ม ปรับปรุงสาขาเดิมเพื่อเพิ่มจำนวนสินค้าในแต่ละสาขามากขึ้น ซึ่งผ่านมาก็เพิ่มสินค้าแบรนด์จระเข้เข้ามาขาย"นายมารุต กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทยังเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศในกลุ่ม CLMV ทั้งเมียนมา ลาว และกัมพูชามากขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถเปิดสาขาใหม่ 1 แห่งในเมืองเมียวดีของเมียนมาที่ร่วมกับพันธมิตร และร่วมมือกับพันธมิตรในลาวเปิดสาขาเพิ่มด้วยเช่นกัน ส่วนที่กัมพูชาเป็นการรับจ้างผลิต (OEM) ให้ลูกค้า
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนส่งออกเพิ่มเป็น 5% จากปีก่อนอยู่ที่ 2-3% ส่วนปีหน้าต้องดูสถานการณ์หลังเปิดสาขาใหม่ว่าสามารถทำยอดขายได้เท่าใด แต่ทั้งนี้เชื่อว่าสัดส่วนคงเพิ่มขึ้นแน่นอน ขณะที่ยอดขายในประเทศก็จะเตืบโตขึ้นด้วย
ด้านผลประกอบการในปี 59 นี้ บริษัทคาดว่าจะทำกำไรสุทธิได้ราว 1,500 ล้านบาท นิวไฮต่อเนื่องจากปี 58 ที่มีกำไรสุทธิ 1,372 ล้านบาท แต่ในส่วนรายได้รวมคงไม่เติบโตมากเท่ากำไร เพราะปีนี้ราคาขายเฉลี่ยลดลงเล็กน้อยราว 1% แต่กำไรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากต้นทุนการผลิตลดลง บวกกับการบริหารช่องทางการขายที่ดีขึ้น
นายมารุต กล่าวว่า จากการบริหารช่องทางการขายที่ดีขึ้นส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 21-22% จากปีก่อนที่ 18% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ทำได้ถึง 45% จากปีก่อน 41% ซึ่งในปี 60 บริษัทก็จะพยายามรักษาอัตราดังกล่าวไว้ โดยบริษัทจะรุกกลยุทธ์การขายเข้าลูกค้าโครงการด้วยตัวเองเพิ่มขึ้น
"ปกติการขายลูกค้าโครงการจะผ่านผู้รับเหมาก่อสร้าง หรือร้านค้าเป็นตัวนำ แต่ตอนนี้เราเริ่มเข้าเองโดยตรง ก็ลด cost ในเรื่องที่จะต้องลดราคาสินค้าไปได้ กำไรก็มากขึ้น เมื่อขายเองก็ไม่ต้องแบ่งกำไรใคร"นายมารุต กล่าว
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/59 ก็คาดว่าได้ตามเป้า ซึ่งปกติเดือน ธ.ค.จะทำยอดขายได้สูงสุดของปี เพราะในเดือน ต.ค.-พ.ย.เป็นช่วงเกี่ยวข้าว และปีนี้เดือน ต.ค.มีสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อประชาชนทั้งประเทศ แต่เดือน พ.ย.เห็นภาพยอดขายชัดเจนมากขึ้น ดังนั้น โดยรวมทั้งไตรมาสจึงยังไม่น่าห่วง
ทั้งนี้ บริษัทยังคงนโยบายจ่ายปันผลอัตราการจ่ายปันผล 75% ของกำไรสุทธิ แต่ที่ผ่านมาบริษัทจ่ายอัตรา 100% ของกำไรสุทธิ และจ่ายปันผลทุกไตรมาส ส่วนปีหน้าขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัทด้วย