บมจ.เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (WAVE) คาดผลประกอบการปีนี้จะสามารถเห็นกำไรได้ แม้ในช่วงครึ่งแรกของปีจะขาดทุน 4.74 ล้านบาท โดยคาดว่าจะบันทึกกำไรจากการขายหุ้นบมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) จำนวน 181.5 ล้านหุ้น จากจำนวนหุ้น TSE ที่บริษัทฯ ถืออยู่ทั้งหมด 363.25 ล้านหุ้น ให้กับบมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ภายในไตรมาส 4/59
การขายหุ้นดังกล่าวจะส่งผลให้ WAVE มีฐานะทางการเงินที่ดีขึ้น โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น TSE มาใช้ในการชำระเงินกู้บางส่วนราว 70-80% ของหนี้ที่มีอยู่ 1,500 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) ลดลงมาอยู่ที่ 1.5 เท่า จากเดิมอยู่ที่ 2.2 เท่า ซึ่งจะส่งผลให้ WAVE มีกระแสเงินสดที่คล่องตัวมากยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าวส่วนหนึ่งไปขยายกิจการและเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติมในการดำเนินธุรกิจอีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาซื้อธุรกิจร้านอาหาร จำนวน 2 ดีล ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ยังไม่มีข้อสรุป
"การขายหุ้น TSE ออกไป จะส่งผลดีต่อฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่จะทำให้ cash flow มีสภาพคล่องที่ดีขึ้น และลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลงได้ ซึ่งหมายถึงกำไรของบริษัทจะดีขึ้นจากการลดลงของดอกเบี้ยจ่าย และที่สำคัญที่สุดถึงแม้ว่าเราจะถือหุ้น TSE ในสัดส่วนที่ลดลง แต่เราเชื่อว่าผลตอบแทนจาก TSE จะเพิ่มสูงขึ้นตามการเติบโตของ TSE ในอนาคต ซึ่งเรามั่นใจว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัทในระยะยาวได้" นายแมทธิว กิจโอธาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการ WAVE กล่าว
นายแมทธิว กล่าวต่อว่า สำหรับรายได้ในไตรมาส 4/59 ของบริษัทคงจะชะลอลงจากไตรมาส 3/59 และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจได้รับผลกระทบตลาดสื่อบันเทิง-อาหาร-การศึกษาที่ไม่สามารถทำตลาดได้ แต่ยังคงเป้ารายได้ 5 ปี (59-63) แตะ 6 พันล้านบาท จากปีนี้คาดทำได้ 3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับราว 2 พันล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการเติบโตจากทั้ง 3 ธุรกิจ ได้แก่ สถาบันการศึกษา Wall Street ,ร้านอาหาร Jeffer Steak และธุรกิจสื่อบันเทิง Index Creative Village
บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจอาหารและสถาบันการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภายใน 3 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีร้านอาหาร Jeffer Steak จำนวน 200 สาขา จากปัจจุบันมี 80 สาขา และสถาบัน Wall Street เพิ่มเป็น 20 แห่ง จากปีนี้น่าจะอยู่ที่ 10 แห่ง และมีแผนจะขยายสถาบันการศึกษาดังกล่าวไปยังกลุ่มประเทศอินโดจีนในอนาคตด้วย
ส่วนธุรกิจอาหาร ก็มีความสนใจเข้าซื้อกิจการแบรนด์อาหารอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก โดยปัจจุบันก็อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรจำนวน 2 ราย แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีความชัดเจนเมื่อใด โดยเบื้องต้นการพิจารณาเข้าซื้อกิจการจะมาจากธุรกิจจะต้องสร้างมูลค่าเพิ่ม และมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) 12% และมีอัตราเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก สามารถคืนทุนได้ภายใน 7-8 ปี
ขณะเดียวกันเตรียมเข้าหารือกับผู้บริหารของ Index Creative Village เพื่อพิจารณาในเรื่องของการปรับแผนงาน และวางแผนการดำเนินการในอนาตต
"การเติบโตปีนี้ยังมาจากสื่อบันเทิงเป็นหลัก แต่ในอีก 5 ปีจากนี้ มองว่าธุรกิจสื่อ และธุรกิจอาหาร การศึกษา น่าจะมีสัดส่วน 50:25:25 ตามลำดับ ตามการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น โดยร้านอาหารก็จะมีการปรับปรุงใหม่ ทั้งเมนู และการรีโนเวทร้าน เพื่อกระตุ้นยอดขาย และเจาะกลุ่มลูกค้าระดับล่างมากขึ้น ส่วนสถาบันการศึกษา ก็จะมีการขยายไปยังต่างจังหวัดหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ,นครราชสีมา เป็นต้น และมองการขยายไปยังอินโดไชน่าต่อไป ขณะเดียวกันธุรกิจสื่อ Index Creative Village หากในอนาคตมีการรับรู้รายได้อย่างมั่นคง เราก็อาจจะมีการพิจารณานำบริษัทดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ในขณะนี้ยังไม่มีแผนแต่อย่างใด"นายแมทธิว กล่าว