บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) คาดว่ากำไรของบริษัทจะเติบโตแบบก้าวกระโดดหลังจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ครบทั้ง 160 เมกะวัตต์ในช่วงสิ้นปี 61 จากปัจจุบัน 107 เมกะวัตต์ ขณะที่บริษัทยังเดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสรุปการเจรจาเข้าลงทุนโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นเพิ่มอีก 2 รายรวม 50-100 เมกะวัตต์ภายใน 2 เดือนนี้ และยังได้ทำ MOU โรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาว รวมทั้งเจรจาเข้าลงทุนในโซลาร์ฟาร์มในเขมรและฟิลิปปินส์ด้วย
นางแคทลีน มาลีนนท์ ประธานกรรมการบริหาร TSE คาดว่าในปี 61 กำไรสุทธิจะเติบโตก้าวกระโดดหลังจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และชีวมวลทั้งในไทยและญี่ปุ่น COD ครบทั้ง 160 เมกะวัตต์ (MW) แบ่งเป็นโซล่าร์ฟาร์มในไทย 101 MW โซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น 37 MW และโรงไฟฟ้าชีวมวลในไทยอีก 22 MW จากปัจจุบันที่มีโซลาร์ฟาร์มในไทยที่ COD แล้ว 101 MW และในญี่ปุ่น 7 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นอีก 50-100 MW คาดรู้ผลใน 2 เดือนข้างหน้า โดยเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น
ส่วนการขยายการลงทุนไปใน AEC ก็มองที่ลาว กัมพูชา และฟิลิปปินส์ โดยที่ลาวมีการเซ็น MOU ศึกษาแผนลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ คาดว่าคงต้องใช้เวลาศึกษาอีก 1-2 ไตรมาส ส่วนในกัมพูชาและฟิลิปปินส์มองโอกาสลงทุนโซลาร์ฟาร์ม ซึ่งที่ฟิลิปปินส์มีเจ้าของนิคมอุตสาหกรรมมาเป็นพันธมิตรแล้ว แต่ยังติดเรื่องนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และอัตราการรับซื้อไฟฟ้ายังไม่นิ่ง อย่างไรก็ตาม มองฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีศักยภาพที่จะเข้าไปลงทุน
ด้านนายสมภพ พรหมพนาพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ TSE กล่าวถึงแนวโน้มที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะปรับลดอัตราการรับซื้อไฟฟ้าแบบ FiT เหลือ 4.1 บาท/หน่วย จากปัจจุบัน 5.66 บาท/หน่วยว่า จะส่งผลกระทบทำให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทลดลงมาที่ 50% จาก 60% ในส่วนของระดับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) อยู่ในเกณฑ์กลางๆ 10% หรีอราว 9-11%