นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) กล่าวว่า บริษัทประกาศผลประกอบการณ์ในไตรมาสที่ 3/59 มีกำไรหลักสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม (Core Profit after tax and non-controlling interests) อยู่ที่ 2.85 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 57% เมื่อเทียบปีต่อปี
สำหรับกำไรสุทธิอยู่ที่ 3.2 พันล้านบาท รวมรายการพิเศษ หรือเพิ่มขึ้น 564% เนื่องจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจวัตถุดิบจากการเข้าซื้อกิจการล่าสุดในประเทศสหรัฐอเมริกาและสเปน การเพิ่มขึ้นของอัตราการผลิตอยู่ที่ 89% บริษัทมีการรับรู้กำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 7.5 พันล้านบาท และธุรกิจยังคงมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุน (ROCE) เป็นตัวเลขสองหลักอย่างต่อเนื่อง
"เรายังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจ แม้ตลาดจะมีความผันผวน แต่ความต้องการผลิตภัณฑ์ของเรายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ สะท้อนให้เห็นถึงการมีกลยุทธ์การดำเนินงานที่ดี ซึ่งสร้างการเติบโตและผลกำไรอย่างต่อเนื่อง ฐานะทางการเงินของเรายังคงแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งทั้งจากธุรกิจปัจจุบันและธุรกิจที่เพิ่งเข้าซื้อและการใช้เงินทุนหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ มั่นใจว่า เราสามารถดำเนินการบรรลุเป้าหมายตามแผนปี 61 ที่ตั้งไว้"นายโลเฮีย กล่าว
สำหรับภาพรวมของธุรกิจทั่วโลกว่า ธุรกิจของเราในอเมริกาเหนือยังคงรักษาผลการดำเนินงานที่ดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ อย่างต่อเนื่องและมีการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีปริมาณการผลิตรวม เติบโต 33% ซึ่งเป็นผลจากการเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการของบริษัท BP การปรับปรุงอัตราการผลิตและการบูรณาการที่เพิ่มขึ้น โครงการก๊าซแครกเกอร์เป็นไปตามแผนและคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในไตรมาส 4/60 ซึ่งจะทำให้เกิดการบูรณาการเพิ่มเติมในภูมิภาค ครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์และผลตอบแทนจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยมีปริมาณการผลิตรวมเพิ่มขึ้น 22% จากสิ้นไตรมาส 3/58 ในทุกกลุ่มธุรกิจแม้ว่าเงินยูโรจะอ่อนค่าลง ตัวเลข EBITDA ต่อตันเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) สำหรับเอเชียมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบปีต่อปี
การวางแผนกลยุทธ์ของIVL ในสภาวะที่ตลาดมีความยากลำบาก เนื่องจากภาวะอุปทานส่วนเกินในเอเชีย นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน บริษัทฯ มีปริมาณการผลิตรวมเพิ่มขึ้น 22% โดยมีปัจจัยหลักจากการบูรณาการที่เพิ่มขึ้นและปริมาณการผลิตวัตถุดิบเพิ่มขึ้น 44%
การเพิ่มการบูรณาการและยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ อยู่ที่ 25.48 พันล้านบาทในไตรมาส 3/59 หรือเพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ธุรกิจเส้นใยมีการเติบโต โดยมี Core EBITDA เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบปีต่อปี อันเป็นผลจากปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง ในขณะที่กลุ่มธุรกิจ PET มีการเติบโต 9% เมื่อเทียบปีต่อปี ธุรกิจวัตถุดิบเติบโต 13% เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากกิจการที่เข้าซื้อล่าสุดในสหรัฐและสเปน
นอกจากนี้ กำไรหลักต่อหุ้นหลังหักดอกเบี้ยจ่ายสำหรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ยังเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.67 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 59% จากไตรมาส 3/58