นายเลอศักดิ์ จุลเทศ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการร่วม บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) เปิดเผยว่า รายได้ของบริษัทในปีนี้ได้มีการปรับลดเป้าหมายรายได้ลงเหลือ 5.1 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายเดิมที่ 5.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ไม่มีมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เหมือนกับในช่วงครึ่งปีแรก
ประกอบกับช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้การโอนคาดว่าจะไม่เป็นไปตามภาวะปกติที่ไตรมาสสุดท้ายของปีจะต้องมีการโอนโครงการมากเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นช่วงถวายความอาลัย ส่งผลให้ลูกค้าที่เตรียมจะโอนโครงการอาจจะมีการตัดสินใจออกไป และบริษัทเองก็ไม่สามารถทำกิจกรรมกระตุ้นการโอนของลูกค้าได้ ทำให้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท
อีกทั้งการปรับโครงสร้างบริษัทตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบในเรื่องการปรับตัวของทีมบริหารอยู่บ้าง ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อในแง่ของรายได้ด้วย โดยรายได้ของบริษัทในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีรายได้อยู่ที่ 3.29 หมื่นล้านบาท และปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอนอยู่ที่ 2.76 หมื่นล้านบาท โดยจะรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 1.03 หมื่นล้านบาท
"ต้องยอมรับว่ารายได้ของบริษัทได้รับผลกระทบบ้างหลังจากหมดมาตรการรัฐในเรื่องการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองหมดลงไป และเรามาทำแคมเปญที่เหมือนกับมาตรการรัฐเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าโอน ผลที่ออกมาก็ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดไว้ ไม่เหมือนกับตอนมีมาตการรัฐ และตอนนี้ช่วงไตรมาสสุดท้ายที่ปกติก็เป็นช่วงที่ดีของภาคอสังหาฯ แต่ปีนี้โค้งสุดท้ายคงอาจชะลอกันหมด เพราะเป็นช่วงที่ทุกคนเข้าใจ การทำกิจกรรมการตลาด ประชาสัมพันธ์ต่างๆก็ระงับไปก่อน ทำให้ตรงนี้อาจจะมีผลต่อการตัดสินใจการโอนโครงการของลูกค้าที่มีการชะลอออกไป อีกทั้งบริษัทเรามีการปรับโครงสร้างองค์กร ทำให้ต้องมีการปรับตัว ตรงนี้ก็ต้องใช้เวลา ซึ่งทำให้มีผลกระทบต่อรายได้ปีนี้"นายเลอศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี บริษัทมั่นใจว่ายอดขายปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5.1 หมื่นล้านบาท โดยยอดขายในช่วง 10 เดือนของปีนี้ผ่านมาทำได้อยู่ที่ 3.95 หมื่นล้านบาท ซึ่งแม้ว่าในช่วงนี้ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยทำให้บริษัทและบริษัทผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นไม่สามารถที่จะทำกิจกรรมทางการตลาดเพื่อการประชาสัมพันธ์และกระตุ้นยอดขายได้ แต่บริษัทเน้นไปที่การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อช่องทางออนไลน์ของบริษัทและการประชาสัมพันธ์ผ่านลูกค้าปัจจุบันแทน เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ให้กับผู้ที่สนใจและยังมองหาที่อยู่อาศัย
บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 4/59 อย่างต่อเนื่องอีก 18-20 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 18-19 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ ซึ่งการเปิดโครงการในปีนี้บริษัทได้มีการปรับเป้าการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 70-72 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 6.01-6.73 หมื่นล้านบาท จากเป้าเปิดโครงการใหม่เดิมที่จะเปิด 60-65 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5-5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งการเปิดโครงการที่เพิ่มขึ้นเป็นการช่วยกระตุ้นให้ยอดขายของบริษัทสามารถทำได้ตามเป้า
อีกทั้งบริษัทยังมีการขายโครงการในไตรมาส 3/59 ที่เปิดไป 25 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.24 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มีการเปิดในช่วงท้ายเดือนกันยายนเป็นจำนวนมาก ทำให้มีโครงการที่เปิดในไตรมาส 3/59 ยังมีการขายส่วนใหญ่ในไตรมาส 4/59 ต่ออีกมาก โดยโครงการที่เปิดในไตรมาส 3/59 จำนวน 25 โครงการนั้นมียอดขายไปแล้วเฉลี่ย 24% ต่อโครงการ ซึ่งต่ำกว่าปกติที่เฉลี่ย 30% ต่อโครงการ เพราะส่วนใหญ่เปิดขายในช่วงท้ายเดือนก.ย.
ส่วนกระบวนการนำหุ้น PS ไปแลกหุ้นบมจ.พฤกษา โฮลดิ้งส์ กระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 23 พ.ย. นี้ และจะนำบมจ.พฤกษา โฮลดิ้งส์ เข้าซื่อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) แทน PS ภายในวันที่ 1 ธ.ค. นี้ โดยธุรกิจใหม่ของบริษัทโฮลดิ้งส์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการและมีรายได้ประจำเข้ามา ซึ่งคาดว่าอาจจะเห็นความชัดเจนภายในปี 60 แต่สัดส่วนรายได้ของ บมจ.พฤกษา โฮลดิ้งส์ ในปี 60 นั้นจะยังมาจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของ PS เกือบ 100%
นายประเสริฐ แด่ดุลยสาธิต กรรมการผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจพรีเมียม PS กล่าวว่า ในปี 60 บริษัทจะรุกเข้าไปในตลาดอสังหาระดับบนอย่างจริงจังและมากขึ้นทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว ซึ่งรูปแบบการพัฒนาโครงการจะเป็นรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยระดับบน โดยแต่ละโครงการจะมีการออกแบบและสไตล์ที่แตกต่างกัน และมีจำนวนยูนิตขายไม่มาก โดยจะเป็นครั้งแรกที่บริษัททำโครงการที่มีราคาขายเฉลี่ย 2.5-3 แสนบาท/ตารางเมตร จากปัจจุบันราคาขายโครงการระดับบนสูงสุดของบริษัทอยู่ที่ 1.5 แสนบาท/ตารางเมตร
บริษัทวางแผนการเปิดโครงการระดับพรีเมียมในปี 60 ไว้จำนวน 4-5 โครงกร มูลค่าโครงการรวม 9.5 พันล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ และโครงการแนวราบ 1 โครงการ ซึ่งบริษัทมีการซื้อที่ดินรองรับการเปิดโครงการรมพรีเมียมในปี 60 ไว้ทั้งหมดแล้ว โดยอยู่ในทำเล Prime Area ในกรุงเทพฯ ได้แก่ ทองหล่อ เอกมัย พญาไท และพหลโยธิตอนต้น ที่ปัจจุบันมีสินค้าในระดับพรีเมียมอยู่แล้วและราคาที่ดินอยู่ในระดับพรีเมียมด้วย
ทั้งนี้ การรุกตลาดพรีเมียมอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการก้าวไปอีกขั้นของบริษัทในการสร้างการเติบโตและขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มพรีเมียมใน 3-5 ปีข้างหน้าเป็น 10-12% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มพรีเมียมต่ำกว่า 5%
ส่วนภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้มองว่าหลังจากปัจจุบันที่อยู่ในช่วงของการไว้อาลัย ทำให้ภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไนไตรมาส 4 ของปีนี้ไม่เป็นไปตามภาวะปกติที่ควรจะดีมาก เพราะกิจกรรมการกระตุ้นการตลาดและการประชาสัมพันธ์โครงการใหม่ๆถูกระงับไปในช่วงนี้ รวมถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายได้เลื่อนการเปิดโครงการในไตรมาส 4/59 ออกไปเป็นจำนวนมาก จากเดิมที่วางแผนการเปิดโครงการในช่วงโค้งสุดท้ายของปีออกมามาก ส่งผลให้ภาพรวมตลาดอสังหาริมาทรัพย์ในปีนี้พลิกกลับมาเป็นทรงตัวถึงติดลบ 5% จากเดิมที่คาดว่าจะทรงตัวถึงเติบโต 5% จากปีก่อนที่มีมูลค่ารวมของตลาดอยู่ที่ 3.48 แสนล้านบาท เพราะในช่วงไตรมาส 4/59 ที่เดิมคาดว่าจะสดใสกลับมาดีไม่เป็นไปตามคาดการณ์
อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีหน้าจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้เป็นทรงตัวถึงเติบโต 5% จากปีนี้ หลังผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทยเริ่มกลับมาเดินเครื่องในการดำเนินธุรกิจอีกครั้ง และมีความมั่นใจแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น ประกอบกับคลายความกังวลหลีอจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนต่างๆมีความชัดเจนให้เห็นชัดแล้วในปีนี้ ซึ่งปี 60 มองว่าจะเป็นปีที่ผู้ประกอบต่างๆจะมีการปรับโครงสร้างในบริษัทมากขึ้น เพื่อเตรียมการลงทุนและการก้าวไปสู่การเติบโตอีกขั้นของธุรกิจ หลังจากผ่านช่วงที่มีความผันผวนและความไม่แนนอนไปแล้ว