นายคเณศ วงส์ไพจิตร ผู้อำรวยการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยถึงแนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในอีก 3 เดือน ข้างหน้า( ม.ค.60) ที่ระดับ 104.55 อยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.68% จากการสำรวจคร้งก่อน โดยมีนโยบายทางภาครัฐเป็นปัจจัยหนุนหลัก ส่วนการส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจจะส่งผลต่อกระแสเงินทุนโดยรวมของตลาดเกิดใหม่จากการไหลของเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งเป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ทั้งนี้ FETCO ระบุว่าในช่วงไตรมาส 4/59 ตลาดหุ้นไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวรับความผันผวนของเงินทุนได้บ้าง ประกอบกับ นักลงทุนเริ่มชะลอการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวตามทิศทางตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หลังการรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่น แต่เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งปัจจัยพื้นฐานในประเทศที่มีความแข็งแกร่งเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้จ่ายภาครัฐที่สอดคล้องเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็เริ่มแผ่วปลายแล้วก็ตาม
นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่คลายความกังวลและเริ่มปรับตัวรับกับอิทธิพลจากกระแสการไหลของเม็ดเงินต่างชาติได้ดีขึ้น โดยปัจจัยเสี่ยงที่ไม่แน่นอนของสถานการณ์ต่างประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งเป็นสื่งที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งในปี 60
สำหรับหมวดธุรกิจที่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุนนั้น แบ่งตามประเภทของนักลงทุน คือ นักลงทุนรายบุคคล มองว่าหมวดท่องเที่ยวและสันทนาการน่าสนใจ ตามด้วยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศ มองว่าธุรกิจในกลุ่มที่น่าสนใจ คือ สาธารณูปโภค ส่วนนักลงทุนต่างชาติ ส่วนใหญ่จะเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าหมวดบริการรับเหมาก่อสร้างมีความน่าสนใจที่สุด รองลงมาคือ หมวดธุรกิจเกษตร หมวดอาคารและเครื่องดื่ม หมวดธนาคารและหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจที่สุด แบ่งตามประเภทของนักลงทุน คือนักลงทุนรายบุคคล มองว่าเป็นหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ ตามมาด้วยแฟชั่น และเหล็ก กลุ่มสถาบันในประเทศ เห็นว่าหมวดเหล็ก และหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ไม่น่าสนใจ ตามด้วยสื่อสิ่งพิมพ์ อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติ มองว่าหมวดธนาคาร และสื่อสิ่งพิมพ์ไม่น่าสนใจ รองลงมาคือ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดแฟชั่น และหมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ