นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) เชื่อมั่นว่าในไตรมาสสุดท้ายบริษัทฯ จะยังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถทำยอดรับรู้รายได้ในปีนี้ ได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีที่ 2,400 ล้านบาทอย่างแน่นอน ในส่วนของการขยายธุรกิจ แม้สถานการณ์ที่ไม่เอื้อจนทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องเลื่อนการเปิดโครงการใหม่ออกไป แต่ในปีนี้ LALIN สามารถเปิดโครงการใหม่ได้มากกว่าแผนต้นปีที่วางไว้ที่ 8 โครงการ มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 8 โครงการ และกำลังจะเปิดอีก 1 โครงการในช่วงที่เหลือของปี ทำให้ในปีนี้บริษัทฯ จะมีการเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทฯ มีการขยายตัวที่มั่นคงต่อไป
ด้านโครงสร้างเงินทุนแม้ว่าจะลงทุนเปิดโครงการใหม่ถึง 9 โครงการ แต่บริษัทฯ ยังคงความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน โดยมีระดับหนี้ที่สามารถบริหารจัดการได้ มีการใช้แหล่งของเงินกู้ที่หลากหลาย และมีอัตราดอกเบี้ยคงที่เพื่อ lock ต้นทุนทางการเงิน ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสสามนี้ บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่เพียงแค่ 0.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.4 เท่า
แม้ภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ในปี 59 นี้จะไม่สดใสนัก ภาพรวมตลาดมีแนวโน้มที่จะหดตัวลงจากปีก่อน ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าผู้ประกอบการหลายรายเริ่มออกมาประกาศปรับลดเป้าหมายทางธุรกิจลง ตลอดจนมีการเลื่อนแผนการเปิดโครงการใหม่ออกไป แต่สำหรับลลิลฯ ได้มีการวางแผนและดำเนินกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ มีการปรับ Products ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งขยายโครงการไปยังทำเลที่มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น จึงช่วยให้บริษัทสามารถ Gain Market Share เพิ่มขึ้นส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมาก
ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 3/59 โดยมียอดรับรู้รายได้ที่ 747.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 48% ขยายตัวสูงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สี่ ในขณะที่คงความสามารถในการจัดการต้นทุนได้ดี จึงส่งผลให้ในไตรมาส 3/59 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 142.3 ล้านบาท ขณะที่ งวด 9 เดือนปี 59 บริษัทฯ มียอดรับรู้รายได้รวม 2,050 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 58% ในส่วนของกำไรสุทธิ 9 เดือนปี 59 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 385.3 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่าเท่าตัว