นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในปี 59 ว่า ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมเหล็กแท่งยาว หรือ Steel Billet ที่เริ่มฟื้นตัวในปีนี้และจากการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่แท้จริง ทั้งการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ และการให้บริการที่รวดเร็วและลูกค้าได้รับความสะดวกสูงสุด ซึ่งเป็นจุดแข็งที่บริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าธุรกิจเหล็กของ CHOW ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และจากธุรกิจพลังงานที่ในปีนี้บริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งรายได้จากการขายไฟฟ้าที่ปัจจุบันสามารถผลิตขายในเชิงพาณิชย์แล้ว 9 โครงการ จำนวน 24.04 เมกะวัตต์ รายได้จากการให้บริการเป็นที่ปรีกษาโครงการ และรายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง โดยจะเห็นการรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานเข้ามาอย่างชัดเจนในปีนี้ และมีทิศทางเติบโตที่โดดเด่นและมั่นคงในอนาคต
โดยผลประกอบการประจำงวดไตรมาสที่ 3/59 (ก.ค.-ก.ย.59) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 53.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.27 ล้านบาท หรือ 269.71% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14.56 ล้านบาท และสนับสนุนให้ผลประกอบการในงวดสะสม 9 เดือน สิ้นสุด 30 ก.ย.59 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 104.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.61 ล้านบาท หรือ 224.87% จากกำไร 32.29 ล้านบาทในปี 58 หลังจากธุรกิจเหล็กเริ่มฟื้นตัว และรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ผลประกอบการทั้งในงวดไตรมาสที่ 3/59 และงวดสะสม 9 เดือนบริษัทฯ เติบโตได้อย่างโดดเด่นดังกล่าว
รวมทั้งสินทรัพย์รวมของบริษัทฯ ในงวด 9 เดือนปี 59 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมจำนวน 11,391.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากจำนวน 8,092.36 ล้านบาท ณ 31 ธ.ค.58 จากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจพลังงาน
ขณะที่งวด 9 เดือน บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม จำนวน 2,518.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 357.12 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16.52% เมื่อเทียบกับปี 58 ที่มีรายได้รวมจำนวน 2,161.71 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการจำหน่ายเหล็กเพิ่มขึ้น 52.73 ล้านบาท คิดเป็น 5.00% สาเหตุเนื่องจากมีการนำเข้าเหล็กลดลงตามมาตรฐการของรัฐบาล ทำให้ราคาสินค้าเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และบริษัทฯ สามารถขายสินค้าได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น
ส่วนบริษัทย่อยได้รับรู้รายได้จำนวน 1,212.34 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าในต่างประเทศจำนวน 5 โครงการและในประเทศ 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 16.76 เมกะวัตต์ และรายได้จากการพัฒนาโครงการจำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 12 เมกะวัตต์ และรายได้จากการก่อสร้างโครงการตามอัตราส่วนงานที่ทำเสร็จจำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 27.22 เมกะวัตต์