(เพิ่มเติม) PTTGC คาดยอดขายปี 60 โตราว 22%-มาร์จิ้นดีขึ้น,วางเป้าลงทุนรับระเบียงเศรษฐกิจ 5 หมื่นลบ.-รุกขยาย CLMV

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 15, 2016 18:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ตั้งเป้ายอดขายปี 60 เติบโตราว 22% จากคาด 3.2 แสนล้านบาทในปีนี้ หรือในช่วงคาดการณ์ที่ 20-25% หลังมองราคาน้ำมันสูงขึ้นและการใช้กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่มีหยุดซ่อมบำรุงค่อนข้างมาก ขณะที่มองมาร์จิ้นในปี 60 จะดีขึ้นทั้งค่าการกลั่นและสเปรดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี รวมถึงยังจะรับรู้กำไรจากโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจภายใต้ชื่อ Project MAX ในปีหน้าราว 90 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.2 พันล้านบาท และโครงการดังกล่าวจะสร้างผลกำไรได้ราว 300 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปีตั้งแต่ปี 62

พร้อมกันนี้วางเป้าลงทุนในโครงการระเบียบเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท หลังล่าสุดมีความชัดเจนแล้วใน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์ และโครงการ PO/Polyols ในพื้นที่มาบตาพุด รวมถึงรุกขยายลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม รวมถึง AEC ที่มีศักยภาพของตลาดที่เติบโต พร้อมกับจะลดการขายในจีนและยุโรป ที่มีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ

"เราตั้งเป้ายอดขายเติบโตราว 22% ในปีหน้า จากการใช้กำลังการผลิตของโรงงานที่ดีขึ้น และราคาน้ำมันที่สูงขึ้น"นางสาวดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี ของ PTTGC กล่าว

นางสาวดวงกมล กล่าวอีกว่า ในปีหน้าประเมินว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ราว 45-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากราว 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ และราคาผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง (HDPE) จะเพิ่มขึ้นมาที่ 1,150 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่การใช้กำลังการผลิตของบริษัทจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของโรงกลั่นน้ำมันจะเดินเครื่องทั้ง 100% ไม่หยุดซ่อมบำรุงเหมือนในปีนี้

รวมถึงการใช้กำลังการผลิตของโรงงานโอเลฟินส์จะอยู่ที่ระดับ 93% จาก 90% ในปีนี้ เนื่องจากจะมีหยุดซ่อมบำรุงประปราย ซึ่งน้อยกว่าปีนี้ที่หยุดซ่อมบำรุงทั้งในแผนและนอกแผน ขณะที่การใช้กำลังการผลิตของโรงงานอะโรเมติกส์น่าจะใกล้เคียงกัน หลังจากได้เดินเครื่องโรงงานอะโรเมติกส์แห่งที่ 2 เมื่อกลางปีนี้ แต่ก็จะหยุดซ่อมบำรุงโรงงานอะโรเมติกส์ดังกล่าวเป็นเวลา 45 วันในช่วงกลางปี 60

สำหรับมาร์จิ้นของผลิตภัณฑ์ต่างๆ นั้น คาดว่าในปีหน้าจะมีค่าการกลั่น (GRM) ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันที่ 5.4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากคาด 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ และส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์ HDPE กับวัตถุดิบอีเทน จะสูงขึ้นจากราว 750 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีนี้ ตามราคาผลิตภัณฑ์ HDPE ที่คาดว่าจะสูงขึ้น นอกจากนี้ในปีหน้าบริษัทยังจะรับรู้กำไรจากการดำเนินโครงการ MAX ราว 90 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.2 พันล้านบาท จากเป้าหมายทั้งโครงการจะรับรู้กำไรได้ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี ตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ บริษัทดำเนินโครงการ MAX ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สามารถเพิ่ม Productivity และผลกำไรสูงขึ้นจากการปรับปรุงกระบวนการทำงาน การพัฒนาศักยภาพ และการเสริมสร้างสุขภาพองค์กรและการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในบริษัทที่คาดว่าจะได้รับผลกำไรในช่วงไตรมาส 4/59

ขณะที่ในปีหน้าบริษัทตั้งงบลงทุนราว 2 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิตจากเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่ำเชิงเส้น (LLDPE) ตามแผน ,การซ่อมบำรุงโรงงาน รวมถึงการดำเนินโครงการ MAX

นางสาวดวงกมล กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมือราว 4.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งใช้รองรับโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ เพิ่มเติม โดยล่าสุดบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปซื้อหุ้นธุรกิจปิโตรเคมีของ บมจ.ปตท. (PTT) 4-5 บริษัท ในสายโพรพิลีน และไบโอเคมิคอล ตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของ ปตท. ซึ่งจะมีความชัดเจนภายในเดือนเม.ย.60 ที่จะมีการนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทพิจารณาอนุมัติ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบสถานะสินทรัพย์ (due diligence) เบื้องต้นมีมูลค่าทางบัญชีไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท

ขณะเดียวกันได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทเพื่อนำเงินราว 1 หมื่นล้านบาทไปลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งล่าสุดได้ว่าจ้างกองทุนเพื่อบริหารเงินดังกล่าวในวงเงิน 6 พันล้านบาทแล้ว คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น

ด้านนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC กล่าวว่า บริษัทวางเป้าหมายจะลงทุนเพื่อสนับสนุนนโยบายพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยล่าสุดมีความชัดเจนแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ การขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์ ภายใต้ชื่อโครงการ Olefins Reconfiguration (ORP) เพื่อผลิตเอทิลีน 5 แสนตัน/ปี โพรพิลีน 2.61 แสนตัน/ปี และโครงการ PO/Polyols ซึ่งเป็นการลงทุนโพลียูรีเทนครบวงจร โดยล่าสุดทั้ง 2 โครงการอยู่ระหว่างการหาผู้รับเหมา ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 63

นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะลงทุนในโครงการอื่น ๆ เพิ่มเติม หลังล่าสุดได้ลงนามสัญญาเบื้องต้น (HOA) กับบริษัท Kuraray Co.,Ltd. และบริษัท Sumitomo Corporation เพื่อร่วมศึกษาความเป็นไปได้ของการผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง คาดว่าจะพิจารณาตัดสินใจลงทุนได้ภายในปี 60 และเริ่มผลิตภายในปี 63 รวมถึงยังมีโอกาสดึงนักลงทุนญี่ปุ่นอีกหลายรายเข้ามามองหาโอกาสการร่วมลงทุนใหม่ ๆ ในไทยเพิ่มเติมด้วย

สำหรับโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในสหรัฐ มูลค่าเบื้องต้น 5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐนั้น อาจจะต้องเลื่อนการตัดสินใจลงทุนออกไปจากช่วงไตรมาส 1/60 เพื่อรอดูนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ที่จะเข้ารับตำแหน่งในเดือน ม.ค.60 เนื่องจากยังมีความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของสหรัฐที่อาจจะส่งผลต่อการลงทุนและการดำเนินงานของบริษัทในสหรัฐได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้บริษัทจะรุกขยายการลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) หลังมองตลาดอาเซียนยังมีการเติบโตอย่างมาก ขณะที่ยุโรปยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ และจีนมีความเสี่ยงจากการที่มีสินค้า commodity ออกมาค่อนข้างมาก โดยบริษัทมีเป้าหมายยอดขายใน CLMV เป็น 1 แสนล้านบาทใน 5 ปี จากปัจจุบันราว 5 พันล้านบาท หรือมีสัดส่วนการขายในกลุ่ม AEC เพิ่มเป็น 25% ใน 5 ปี จาก 6% ในปัจจุบัน และจะลดสัดส่วนการขายในจีนเหลือ 30% ใน 5 ปี จาก 35-39% ในปัจจุบัน

ล่าสุด บริษัทได้ลงนาม MOU ร่วมกับบริษัท เอส.พี.เพ็ทแพค จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชั้นนำของไทย โดยบริษัทลงทุนสัดส่วน 25% เพื่อสนับสนุนการลงทุนสร้างโรงงานบรรจุภัณฑ์พลาสติกในเมียนมา ประเภทถังแกลลอนบรรจุน้ำมันหล่อลื่น และบรรจุภัณฑ์พลาสติกอื่น ๆ มีโรงงานตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมติละวา และในอนาคตบริษัทมีเป้าหมายจะเข้าไปสนับสนุนลูกค้าชั้นดีที่มีความต้องการขยายตลาดเพื่อเข้าไปลงทุนในประเทศ CLMV ในสัดส่วนไม่เกิน 25% เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและจะไม่มีการไปทำตลาดแข่งกับลูกค้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ