สำหรับนโยบายการรุกขยายสาขา "ร้านแซ่บ คลาสสิก" ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยอีสานนั้น จะขยายสาขาทั้งในรูปแบบที่บริษัทลงทุนเองและการเปิดขายแฟรนไชส์เพื่อผลักการเติบโตต่อจากนี้ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 8 สาขา จะขยายเพิ่มอีก 4 สาขาในปีนี้ แบ่งเป็นการลงทุนเอง 2 สาขาและขายแฟรนไชส์อีก 2 สาขา พร้อมย้ายสาขาไปยังทำเลที่มีศักยภาพ เช่น การย้ายสาขาสีลมไปเปิดที่ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ และเพิ่มเมนูอาหารไทยที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าคนไทย และชาวต่างชาติเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้า เช่น เมนูแกงมัสมั่น ผัดไท ซึ่งส่งผลให้มียอดขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นเท่าตัว
ขณะที่ร้านข้าวขาหมูยูนนานนั้น บริษัทจะเน้นเปิดร้านขนาดเล็กในรูปแบบการขายแฟรนไชส์ที่ใช้เงินลงทุนเพียง 89,000 บาท เพื่อรุกเข้าสู่แหล่งชุมชนรองรับแผนขยายธุรกิจ พร้อมปรับเปลี่ยนสาขาเดิมที่มีอยู่ 32 สาขาเป็นรูปแบบแฟรนไชส์ทั้งหมด รวมถึงจะเพิ่มเมนูอาหารใหม่ ๆ ให้มีความหลากหลาย เช่น ติ่มซำ เมนูเกี่ยวกับผักต่างๆ เป็นต้น โดยในไตรมาส 4 นี้ บริษัทจะขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ที่ประเทศ สปป.ลาว เพิ่มขึ้นอีก 1 สาขาและกัมพูชาอีก 2 สาขา ส่งผลให้ ณ สิ้นปีนี้จะมีสาขาร้านข้าวขาหมูยูนนานในไทยและต่างประเทศทั้งสิ้น 35 สาขา
“ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมรุกขยายธุรกิจด้าน QSR ทั้งในด้านบุคลากรที่ดึงมืออาชีพมาร่วมงานและช่วยวางแผนงานธุรกิจ รวมถึงได้ลงทุนระบบเพื่อรุกขยายร้านในรูปแบบแฟรนไชส์เพิ่มขึ้น และปรับเปลี่ยนทำเลร้านไปยังทำเลที่มีศักยภาพมากขึ้น ซึ่งด้วยแนวทางดังกล่าว เชื่อว่าจะช่วยผลักดันธุรกิจ QSR ของเราให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด"นายเจริญ กล่าว
นายเจริญ กล่าวอีกว่า จากแผนงานดังกล่าว ทำให้บริษัทมีต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านการขายและการบริหาร (SG&A) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ มีกำไรสุทธิ 60.32 ล้านบาท ลดลงราว 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 84.91 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้มีรายได้รวมอยู่ที่ 1.95 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีปัจจัยจากกลุ่มอาหารพื้นเมือง อาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน และกลุ่มร้านอาหารบริการด่วนที่ยังเติบโตได้ดี