นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) ประเมินตลาดหุ้นไทยในวันนี้ว่า โดยภาพรวมจะมีความผันผวนจากหลายปัจจัยที่ยังไม่คลี่คลาย โดยเฉพาะนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯว่าจะนำมาใช้มากขนาดไหน ขณะที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯที่จะมีการปรับขึ้น จะเป็นตัวที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศยังอยู่ในฝั่งขายหุ้น(พันธบัตร) กันต่อเป็นแรงกดตลาดมาตลอด ตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรั ดังนั้น ตลาดฯจะบวกได้หรือไม่ อยู่ที่การหารือของญี่ปุ่น-สหรัฐฯ เช้านี้
ขณะที่ในคืนที่ผ่านมา นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงภาวะเศรษฐกิจต่อสภาคองเกรส โดยระบุในเรื่องดอกเบี้ยสหรัฐฯว่ามีโอกาสปรับขึ้นเดือนธ.ค.และตนเองจะอยู่จะครบวาระในเดือน ม.ค.61 และยังเตือนในเรื่องการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะที่เศรษฐกิจมีการเติบโตจากการจ้างงานสูงแล้ว (full Employment) ซึ่งการตอบรับต่อตลาดค่าเงินดอลล่าร์ขึ้นต่อ
ตัวแปรที่ที่น่าจับตาดูในวันนี้คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร หรือ Bond Yield อายุ 30 ปี ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กลับขึ้นมาแตะ 3.0% อีกครั้ง ถ้าจำกันได้ วันที่ 14 พ.ย.ตลาดหุ้นไทยลง ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องนี้ หากวันนี้ Bond Yield ยังขึ้นต่อก็จะลบต่อตลาดหุ้นไทย ค่าเงินบาทเช้านี้ ขึ้นไปแตะ 35.54 บาท/ดอลล่าร์
ส่วนราคาน้ำมัน ตลาดให้น้ำหนักในทางบวกต่อการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และผู้ผลิตน้ำมันบางรายในช่วงวันหยุดนี้ แต่การแข็งค่าของเงินเป็นลบต่อราคาน้ำมัน จึงคาดราคาน้ำมันจะ sideway เพื่อรอดูผลประชุมช่วงวันหยุดนี้ ด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ยังเอาแน่นอนไม่ได้ เพราะกำลังมีการคาดการณ์ระหว่างความต้องการใช้ของจีนกับแผนลงทุนใหม่ ๆ ของสหรัฐฯ
กลยุทธ์การลงทุนแม้จะมีทั้งข่าวบวกและลบ แต่ด้วยความไม่ชัดเจนในทิศทาง ยังแนะนำนักลงทุนชะลอการลงทุนหรือเล่นสั้น ๆ ไว้ก่อนจนกว่าตลาดจะนิ่งและชัดขึ้น หุ้นที่แนะนำ CPALL,KCE,SCN,SLP มองกรอบดัชนีวันนี้ที่ 1,463-1,484 จุด