นางสาวจุรีรัตน์ ลปนาวณิชย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงิน บมจ.มิลล์คอน สตีล (MILL) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าปริมาณการขายเหล็กปี 60 จะเติบไม่ต่ำกว่า 10% จากปีนี้ที่คาดว่าปริมาณขายเหล็กจะทำได้ 1.4-1.5 ล้านตัน ซึ่งโดยปกติแล้วบริษัทจะมีการเติบโตกว่าเท่าตัวของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศ ซึ่งในปี 60 คาดว่า GDP จะเติบโตได้ราว 3%
สำหรับปริมาณขายในปีนี้ปัจจุบันทำได้แล้วราว 1.1 ล้านตัน สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ที่ 9 แสนตัน ซึ่งเป็นการเติบโตตามความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ส่วนรายได้ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ราว 16,000 ล้านบาท ซึ่ง 9 เดือนที่ผ่านมามีรายได้แล้วกว่า 15,042.31 ล้านบาท ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ 70% มาจากเหล็กเส้น และอีก 30 % เป็นเหล็กพิเศษอื่นๆ เช่น เหล็กแท่งทรงยาว
นางสาวจุรีรัตน์ กล่าวว่า ความต้องการการใช้เหล็กจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีหน้าจากการผลักดันโครงการใหม่ๆ ออกมา ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์คาดว่าน่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 59 เนื่องจากตลาดส่งออกยังคงได้รับอานิสงส์จากการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประกอบกับ ต้นทุนการผลิตเหล็กทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ก็จะทำให้ราคาเหล็กในปีหน้าสูงกว่าปีนี้ที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 14 บาท/กิโลกรัม
ขณะที่บริษัทเตรียมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับพันธมิตรในประเทศเวียดนามได้ภายในช่วงปลายปีนี้ โดยบริษัทดังกล่าวมีโรงงานผลิตเหล็กประกอบโครงสร้างสำเร็จรูป (PEB) ในเวียดนาม ซึ่งการร่วมทุนในครั้งนี้จะนำเทคโนโลยีผลิต PEB เข้าไปขยายการผลิตในประเทศพม่าเพิ่มเติมด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯมีเป้าหมายในการขยายการลงทุนให้ครอบคลุมในอาเซียนทุกประเทศ เนื่องจากเป็นภูมิภาคเดียวที่ยังมีความต้องการใช้เหล็กยังมีการเติบโตได้มากกว่าภูมิภาคอื่นๆ อาทิ ฟิลิปปินส์ เวียนดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซียและไทย ที่อุตสาหกรรมเหล็กจะสามารถเติบโตได้ปีละเฉลี่ย 5-6% ซึ่งปัจจุบัน MILL มีสัดส่วนการรายได้จากต่างประเทศ 10% และจากการลงทุนต่อเนื่องจะส่งผลให้สัดส่วนรายได้ต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมงบลงทุนไว้อีกราว 100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อที่จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิต เป็น 6.3 แสนตันต่อปี จากปัจจุบันที่ 5 แสนตันต่อปี มูลค่าราว 20-30 ล้านบาท ในส่วนที่เหลือจะเป็นงบปกติในการปรับปรุงปกติ
ด้านโรงงานร่วมทุนในประเทศเมียนมา คาดว่าจะสามารถผลิตเหล็กชนิดพิเศษด้วยเครื่องจักรพิเศษได้ในช่วงกลางปี 60 และเดินเครื่องได้เต็มกำลังการผลิต หรือประมาณ 3 พันตันต่อเดือนได้ในช่วงต้นปี 61 จะส่งผลให้สินค้ามาร์จิ้นสูงเพิ่มสัดส่วนเป็น 20% จากปัจจุบันที่ไม่ได้มีการผลิตเลย และจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯจะเพิ่มเป็น 15% จากปัจจุบันที่ 9%