ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดแผนงานปี 60 ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าราคาตลาดหลักทรัพย์ของหลักทรัพย์รวม (มาร์เก็ตแคป) 550,000 ล้านบาท จากปีนี้ 440,000 ล้านบาท โดยมาร์เก็ตแคปในปีหน้าจะมาจากบริษัทจดทะเบียนระดมทุนเพิ่ม 270,000 ล้านบาท และหลักทรัพย์จะทะเบียนใหม่ (IPO) 280,000 ล้านบาท ไม่รวมกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Thailand Future Fund) ขณะที่มูลค่าระดมทุน IPO ปีนี้จะทำได้ราว 160,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 190,000 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากมีบริษัท 3-4 รายเลื่อนการเข้าจดทะเบียนไปเป็นปีหน้าหลังมีการปรับระบบทางบัญชี
ทั้งนี้ ตลท.ระบุว่า กลยุทธ์หลักในปี 60 จะอยู่ภายใต้วิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market “Work" for Everyone" พัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน สร้างรากฐานการเติบโตไปพร้อมกันทั้งตลาดทุน เศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติ ตามทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทยของรัฐบาล Thailand 4.0 ด้านการระดมทุน มุ่งขยายโอกาสการระดมทุนของอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็งของประเทศ พร้อมสร้าง ecosystem ให้ Startup เข้าถึงแหล่งเงินทุน ด้านการลงทุน ร่วมกับพันธมิตรสร้างวัฒนธรรมการลงทุนด้วย digital platform
พร้อมรณรงค์ “การลงทุนสม่ำเสมอ" รองรับสังคมผู้สูงอายุ ด้านโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุน สร้าง platform รองรับธุรกิจในยุคดิจิทัล เน้นการปฏิบัติงานตามมาตรฐานสากล พัฒนา CLMV Index พร้อมร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านสร้างธุรกิจในระดับภูมิภาค ต่อยอดความสำเร็จในปี 2559 ผลักดันให้ตลาดทุนไทยโดดเด่นที่สุดในอาเซียนอย่างต่อเนื่อง
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลท.กล่าวว่า ในปี 60 ตลท.วางกลยุทธ์หลักเพื่อให้ตลาดทุนไทยเป็นประโยชน์กับทุกภาคส่วน 3 ด้าน ได้แก่
1. Fund-raising Cultivator ขยายโอกาสการระดมทุนในหลายรูปแบบ ผลักดันให้มีหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ มุ่งเน้นอุตสาหกรรมและคลัสเตอร์เป้าหมายที่เป็นจุดแข็งของประเทศ เช่น กลุ่มอาหารและกลุ่มพลังงานที่มีศักยภาพเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมส่งเสริมให้ภาครัฐสามารถใช้ตลาดทุนเพื่อการระดมทุนและลดภาระหนี้สาธารณะ หลังจากปีนี้มีการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ EGATIF มูลค่าระดมทุน 20,000 ล้านบาท รวมถึงสนับสนุนสถาบันตัวกลาง และการเข้าถึงตลาดทุนไทยของต่างชาติ คาดว่าจะเห็นบริษัทต่างชาติเข้ามาจดะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยทางตรงในช่วงต้นไตรมาส 2/60 อย่างน้อย 1 บริษัท พร้อมขยายความรู้การระดมทุนในตลาดทุนไปยังกลุ่ม High growth potential SMEs, Startups
นอกจากนี้ส่งเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทจดทะเบียน โดยผลักดันการใช้เครื่องมือระดมทุนเพื่อขยายกิจการ พร้อมพัฒนาคุณภาพการทำธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งเสริมการสนับสนุน social enterprise และการใช้ SET Social Impact Platform เพื่อความยั่งยืน พร้อมสร้างการรับรู้ในวงกว้างให้บริษัทจดทะเบียนโดยส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมคำนวณในดัชนีระดับโลก (DJSI & MSCI) และจัดทำ SET CLMV Index ซึ่งเป็น Index ที่นำบริษัทที่เข้าไปลงทุนในประเทศกลุ่ม CLMV มาจัดหมวดให้นักลงทุนให้เห็นชัดเจนมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงปลายไตรมาส 2/60 หลังจากที่บริษัทจดทะเบียนส่งข้อมูล 56-1 ประจำปี 59 โดยปัจจุบันมีบริษัทที่เข้าไปลงทุนในอาเซียนจำนวน 152 บริษัท
ขณะเดียวกันก็จะมีการเริ่มดำเนินการ SET S Index ในช่วงเดือน ม.ค.60 ซึ่งเป็นการรวมบริษัทที่ไม่สามารถเข้าเกณฑ์ SET 100 แต่มีศักยภาพสูง ปัจจุบันมีบริษัทที่อยู่ในเกณฑ์แล้วกว่า 100 บริษัท พร้อมกับสร้าง Startup Ecosystem เพื่อเป็นรากฐานเศรษฐกิจไทย โดยเตรียมความพร้อมให้ Startup ด้วยการจัดอบรม พัฒนาให้สามารถเชื่อมโยงและเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ พร้อมกับพัฒนา platform การซื้อขายของกลุ่มบริษัทดังกล่าว "แผนสนับสนุนธุรกิจ Startup ล่าสุดได้มีการเปิดเว็ปไซด์ www//new.set.or.th ซึ่งปัจจุบันมีธุรกิจ Startup เข้ามาลงทะเบียนแล้วกว่า 598 ราย และมีผู้ลงทุนเข้ามาลงทะเบียนแล้วกว่า 62 ราย ซึ่งบริษัทคาดว่าในปี 60 จะเห็นการพัฒนา platform ที่ชัดเจนขึ้น"นางเกศรา กล่าว 2. Investment Cultivator สร้างวัฒนธรรมการลงทุน ด้วยการพัฒนาทักษะความรู้และส่งเสริมการลงทุนด้วย Digital platform ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนบุคคล ทั้งการลงทุนในหุ้น กองทุนรวม และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยจะมีการเริ่มใช้ระบบ Fund Connext ในเดือนมี.ค.60 ที่ทำให้ผู้ลงทุนเข้าถึงการลงทุนในกองทุนรวมได้อย่างสะดวกขึ้น และเตรียมพร้อมพัฒนาการเป็นนายทะเบียนสมาชิก รองรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ คาดว่าในปีหน้าจะมีผู้ลงทุนใหม่ในหุ้นรวม 100,000 ราย และผู้ลงทุนใหม่ในอนุพันธ์รวม 10,000 ราย
3. Excellent Infrastructure & Capability มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของตลาดทุนไทยสู่ความเป็นเลิศและการปฎิบัติงานได้ตามมาตรฐานสากล ให้พร้อมรองรับธุรกิจในอนาคตที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศ ผ่าน Digital platform เช่น การมี Open Architecture และ ระบบ Cryber Security ที่เป็นสากล และปรับปรุงกระบวนการทำงานและระบบ ทั้งทางด้านส่งมอบหลักทรัพย์และด้านการชำระเงิน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับลดระยะเวลาระบบชำระราคาและส่งมอบเป็น 2 วันทำการ หรือ T+2 ซึ่งจะเริ่มเตรียมการตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป
ขณะที่นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลท.กล่าวว่า ตลท.ตั้งเป้าหมายมาร์เก็ตแคปรวมในปี 63 จะอยู่ที่ 25-27 ล้านล้านบาท จากปีนี้อยู่ที่ 15 ล้านล้านบาท ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท จากสิ้นปี 59 คาดว่าจะอยุ่ที่ประมาณ 5.2 หมื่นล้านบาท และเพิ่มเป็น 5.7 หมื่นล้านบาทต่อวันในปี 60
ด้านนายสุภกิจ จิระประดิษฐกุล รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานกำกับตลาดและหัวหน้าสายงานกฎหมาย ตลท. เปิดเผยว่า ตลท.และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีการทำงานที่สอดคล้องกันในการพิจารณานำหุ้นที่ถูกสั่งพักการซื้อขายให้กลับเข้ามาซื้อขายได้อีกครั้ง โดยคาดว่าจะมีหุ้นกลับเข้ามาซื้อขาย 1 บริษัทในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า หลังจากปีนี้ไม่มีหุ้นที่กลับเข้ามาซื้อขายเลย
สำหรับการพิจารณาการกระทำผิดในตลาดหลักทรัพย์พบว่า กรณีของการปั่นหุ้นลดลง เนื่องจากได้นำมาตรการ Cash Balance มาใช้ อย่างไรก็ตาม พบว่ากรณีการทำผิดด้วยการใช้ข้อมูลภายใน (Insider Trading) กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เพิ่มขึ้นน่าจะเป็นผลมาจากภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวน