นายประพล พรประภา รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ฐิติกร (TK) กล่าวว่า บริษัทคาดว่าพอร์ตสินเชื่อรวมในปี 59 น่าจะเติบโตได้ราว 7% หรือมาที่ 7,750 ล้านบาท ต่ำกว่าเดิมที่คาดจะเติบโต 10% จากปีก่อนที่มีพอร์ตสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 7,252 ล้านบาท เนื่องพอร์ตสินเชื่อรถยนต์ในปีนี้ปรับตัวลดลง ขณะที่มีการเร่งตัดหนี้สูญของสินเชื่อรถจักรยายนต์ หลังจากพบปัญหาการผ่อนชำระล่าช้ามากกว่า 3 เดือน
อย่างไรก็ตาม บริษัทประเมินว่าสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปีนี้น่าจะลดลงมาอยู่ที่ราว 4% เนื่องจากจากคุณภาพลูกหนี้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย NPL ณ สิ้นไตรมาส 3/59 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 4.9% จากสิ้นไตรมาส 2/59 อยู่ที่ระดับ 5.3% อีกทั้งส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ปีนี้น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 30% และปีหน้าก็น่าจะใกล้เคียงปีนี้
นายประพล กล่าวว่า ตลาดรถจักรยายนต์และรถยนต์ในไตรมาส 4/59 น่าจะเติบโตขึ้นได้เล็กน้อย โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่น่าจะได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากราคาไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับรถยนต์ ขณะที่ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รัฐบาลก็มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง น่าจะส่งผลต่อกำลังซื้อให้ปรับตัวดีขึ้น
ที่ผ่านมาช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมียอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์จำนวน 1,350,105 คัน เพิ่มขึ้น 4.4% จาก 1,293,465 คัน จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดจำหน่ายรถยนต์ จำนวน 556,525 คัน เพิ่มขึ้น 0.49% จาก 553,832 คันจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ ประเมินหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับราว 4% จากคุณภาพลูกหนี้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3/59 NPL ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 4.9% จากไตรมาส 2/59 อยู่ที่ระดับ 5.3% อีกทั้งส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ปีนี้น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 30% ปีหน้าก็น่าจะใกล้เคียงปีนี้
"เรามองตลาดไตรมาส 4/59 น่าจะโตขึ้นเล็กน้อย โดยในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ตัวเลขรถจักรยานยนต์ปรับเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่ง 10 เดือนมียอดขายอยู่ที่ 1.47 ล้านคัน และอีกสองเดือนที่เหลือก็คาดว่าตัวเลขน่าจะขยับดีขึ้น แต่อาจจะไม่สูงมากนัก ส่วนรถยนต์ ตัวเลข 9 เดือน ก็บวกเล็กน้อย ซึ่งยังได้รับผลกระทบจากสินค้าเกษตรกรที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้กำลังซื้อของต่างจังหวัดไม่สู้ดีนัก อย่างไรก็ตามคาดพอร์ตสินเชื่อรวมปีนี้น่าจะเติบโตได้ราว 7%"นายประพล กล่าว
นายประพล กล่าวว่า บริษัทคาดว่าพอร์ตสินเชื่อปี 60 น่าจะเติบโตได้กว่า 5% เป็นไปตามเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น และการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งน่าจะทำให้กำลังซื้อในทุกภาคส่วนดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังต้องติดตามนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ หากมีการยกเลิกข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งการส่งออกมีสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับ GDP
ขณะที่ปีหน้าบริษัทวางงบลงทุนรวมไม่เกิน 20 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขาในประเทศ 2-3 สาขา จากเดิมมีอยู่ 88 สาขา และในประเทศกัมพูชาอีก 3 สาขา จากเดิมมีอยู่ 3 สาขา