นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายในปี 60 จะซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มอีก 3 หมื่นล้านบาท ใช้เงินลงทุนราว 1.5 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ส่วนที่เหลือจะเป็นหนี้สินเชื่อรถยนต์ และอื่น ๆ ขณะที่ในปีนี้มั่นใจว่าแผนการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพดังกล่าวจะทำได้ตามเป้าหมายมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนราว 1 พันล้านบาท ส่งผลให้มีพอร์ตบริหารหนี้ทั้งปีแตะ 1.1 แสนล้านบาท จากราว 9 หมื่นล้านบาทในปี 58
ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัท บริหารสินทรัพย์เจ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ลงนามในสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ด้อยคุณภาพของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ กับธนาคารธนชาต มูลค่า 2.42 พันล้านบาท และก่อนหน้านี้ ลงนามในสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ด้อยคุณภาพของสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล กับธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มูลค่า 1.54 พันล้านบาท ส่งผลให้มีพอร์ตบริหารหนี้อยู่แล้วที่ราว 1.01 แสนล้านบาท
ขณะที่ช่วงปลายปีเป็นไฮซีซั่นที่สถาบันการเงินจะมีการขายหนี้เสียออกมาเป็นจำนวนมาก โดยบริษัทอยู่ระหว่างทำดีลเพื่อซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มกับอีก 5 สถาบันการเงิน คาดจะเสร็จเรียบร้อยทั้งหมดภายในเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งจะสนับสนุนเป้าหมายการซื้อหนี้เข้ามาบริหารทั้งปีให้เป็นไปตามที่วางไว้
สำหรับแนวโน้มภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปี 59 มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังเติบโตไม่มากนัก ขณะที่สถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้งแบงก์ และนอนแบงก์ ได้ปล่อยสินเชื่อออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการทยอยขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมาเป็นจำนวนมากตั้งแต่ต้นปี โดยทั้งปีนี้สถาบันการเงินเทขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมาราว 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่บริษัท ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหาร 2 หมื่นล้านบาทตามแผนงานที่วางไว้ เนื่องจากมีการคัดเลือกหนี้ที่มีคุณภาพและได้ผลตอบแทนตามเกณฑ์ที่บริษัทกำหนด
ประกอบกับข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประกาศในช่วงที่ผ่านมา เปิดเผยถึง สัดส่วนหนี้ NPL ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 3/59 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 2.89% จากระดับ 2.72% ไตรมาส 2/59 ขณะที่ NPL สินเชื่อบัตรเครดิตมีการปรับตัวขึ้นจาก 4.25% เป็น 5.10% สูงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี สำหรับ NPL สินเชื่อส่วนบุคคล และ NPL สินเชื่อที่อยู่อาศัยปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ซึ่งสัดส่วนหนี้ที่อยู่อาศัยมีจำนวนค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อรวม นับเป็นโอกาสของบริษัทให้สามารถซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารได้อีกมาก และมีแผนเข้าไปประมูล NPL สินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อที่มีหลักประกันอื่น ๆ เพิ่มเติม
โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาซื้อหนี้ด้อยคุณภาพที่เป็นสินเชื่อบ้านมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท จากสถาบันการเงินแห่งหนึ่งที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการขออนุมัติจากกระทรวงการคลัง จึงคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีหน้า
"JMT นับเป็นเบอร์หนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจบริหารหนี้ในประเทศไทย มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดราว 90% เป็นผลจากประสบการณ์ในธุรกิจ ความเชี่ยวชาญ ความเป็นมืออาชีพ และเงินลงทุนที่พร้อมเข้าประมูลซื้อหนี้เข้ามาบริหารอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง ความสามารถในการจัดเก็บหนี้ของบริษัทฯ ทำให้ JMT จัดเก็บหนี้ได้เกินเป้าหมายที่วางไว้ สนับสนุนให้บริษัทมีรายได้จากการจัดเก็บหนี้เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ"นายปิยะ กล่าว