บมจ.เอ็น.ดี.รับเบอร์ (NDR) ยอมรับว่ายอดขายในปีนี้คงจะพลาดเป้าหมายที่ 1 พันล้านบาท โดยได้รับผลกระทบจากเศรษบกิจของเมาเลเซียที่ชะลอตัว และตลาดอินเดียทำยอดขายได้ต่ำกว่าคาด แต่ในปีหน้าคาดว่ายอดขายจะเติบโตได้ต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทจะเน้นการทำตลาดและสร้างแบรนด์เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนราว 50-100 ล้านบาทเพื่อใช้ในการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ NDR เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายปี 59 น่าจะอยู่ที่ราว 900 ล้านบาท ซึ่งยอมรับว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้เดิม 1,000 ล้านบาท แต่ยังเติบโตจากปี 58 ที่มีรายได้ 797 ล้านบาท เป็นผลมาจากยอดขายในประเทศมาเลเซียปรับตัวลดลงจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ ยอดขายในประเทศอินเดียที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 160-170 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางนอก 66% ยางใน 19% ชิ้นส่วนยานยนต์ 6% แบตเตอรี่ 6% อื่นๆ 3%
สำหรับในปี 60 บริษัทฯคาดหวังว่ายอดขายจะเติบโตต่อเนื่อง แม้ภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยางอาจจะอยู่ในระดับทรงตัว ไม่ได้เติบโตโดดเด่นมากนัก แต่บริษัทจะเน้นทำการตลาด และการสร้างแบรนด์ให้มากขึ้น เพื่อที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในปี 60 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ราว 50-100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยขณะนี้บริษัทมีกำลังการผลิตยางในล้อ 7 ล้านเส้นต่อปี และยางนอก 3.5 ล้านเส้นต่อปี ซึ่งมีอัตราการใช้กำลังการผลิต 80% โดยปีหน้ายังไม่มีแผนเพิ่มกำลังการผลิต แต่อาจจะมีการพิจารณาเพื่อที่จะรองรับการเติบโตในปี 61
"ปีหน้าเราก็ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ ถึงแม้ว่าตลาดรวมคงจะทรงๆตัวไม่เติบโต เพราะเศรษฐกิจในประเทศขยายตัวหลักๆมาจากการลงทุนของภาครัฐเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการบริโภคของประชาชนยังคงไม่ได้ดีนัก ซึ่งเราก็คงไปเน้นการทำตลาด และสร้างแบรนด์ เพื่อที่จะเป็นการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้มากขึ้น "นายชัยสิทธิ์ กล่าว
สำหรับการจัดตั้งบริษทร่วมทุนเพื่อผลิตและจำหน่ายยางล้อรถยนต์และยางล้อรถบรรทุก คาดว่าจะสามารถจัดตั้งได้ภายในเดือน มิ.ย.60 โดยบริษัทฯจะเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 30% ของทุนจดทะเบียนหรือคิดเป็นเงินลงทุนจำนวน 300 ล้านบาท จากมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท
“การเข้าลงทุนในบริษัทร่วมทุนครั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากธุรกิจที่เกิดจากการร่วมทุนมาปรับใช้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด นอกจากนี้ ยังจะเป็นการเพิ่มรายได้และกำไร เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น”นายชัยสิทธิ์ กล่าว
นายชัยสิทธิ์ กล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างมองหาที่ดินในภาคตะวันออก เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าว จากนั้นจะดำเนินการก่อสร้างโรงงานคาดใช้เวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง จึงจะเริ่มการผลิตได้ในช่วงปลายปี 61 ถึงต้นปี 62 โดยเฟสแรก จะลงทุนยางรถบรรทุกก่อน ตั้งเป้ามีกำลังการผลิต 600,000 เส้น/ปี
หลังจากนั้นเฟสถัดไปตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 1,200,000 เส้น/ปี และจะเริ่มขยายกำลังการผลิตยางรถเก๋ง โดยตั้งเป้ามีกำลังการผลิตยางรถเก๋งอยู่ที่ 3,000,000 เส้น/ปี วางแผนจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่จะมุ่งเน้นตลาดต่างประเทศในสหรัฐอเมริกาและอินเดีย ซึ่งเป็นฐานลูกค้าจากกลุ่มพันธมิตรจีน คาดสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะอยู่ที่ 90%