นายวิทวัส เวชชบุษกร ผู้อำนวยการ สายงานการเงินและการบริหารการลงทุน บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) คาดผลการดำเนินในปี 60 จะมีโอกาสพลิกกลับมามีกำไร จากแนวโน้มของ 3 ธุรกิจหลักฟื้นตัวขึ้น
ธุรกิจโลจิสติกส์ที่เป็นธุรกิจเดินเรือขนส่งสินค้ามีแนวโน้มค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าค่าระวางเรือของบริษัทในปี 60 จะแตะระดับจุดคุ้มทุนที่ 7,000 เหรียญ/ลำ/วัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 6,000 เหรียญ/ลำ/วัน จากแนวโน้มการขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์ เหล็ก และถ่านหินที่เพิ่มมากขึ้น หลังตลาดจีนเริ่มมีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้อัตราค่าระวางเรือในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม โดยปัจจุบันอยู่ที่ 9,000 เหรียญ/ลำ/วัน จากสิ้นไตรมาส 3/59 ที่ 6,500 พันเหรียญ/ลำ/วัน
นอกจากนี้ในปี 60 ธุรกิจเดินเรือจะมีการขายเรือที่ปลดระวางจำนวน 3-4 ลำ จากปัจจุบันมีกองเรือทั้งหมด 20 ลำ และจะมีการซื้อหรือต่อเรือ เข้ามาทดแทนอีก 4-5 ลำ โดยใช้เม็ดเงินลงทุนเฉลี่ย 18 ล้านเหรียญ/ลำ ซึ่งเรือที่บริษัทจะซื้อเข้ามาจะเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่ อัลตราแม็กซ์ และซูปราแม็กซ์ ขนาดบรรทุกมากกว่า 60,000 ตัน/ลำ หากบริษัทไม่มีการต่อเรือลำใหม่จะเป็นการซื้อเรือที่มีอายุการใช้งาน 1-3 ปีเข้ามาแทน
ขณะที่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน คือ ธุรกิจวิศกรรมใต้น้ำภายใต้ บริษัทเมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด มีการทำสัญญาระยะยาวแล้วมูลค่า 160 ล้านเหรียญ ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้เข้ามาในปี 60 จำนวน 100 ล้านเหรียญ
ด้านธุรกิจผลิตและจำหน่ายปุ๋ยเคมี ในประเทศเวียดนามภายใต้ บมจ.พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย (PMTA) ยังสร้างผลการดำเนินงานที่ดีให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/59 จากการควบคุมต้นทุนและการจัดการต้นทุนการขายต่อหน่วยที่มีประสิทธิภาพ และการขยายพื้นที่เช่าโรงงานเพิ่มเติมทำให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น
และธุรกิจจัดจำหน่ายถ่ายหินและให้บริการโลจิสติกส์ขนส่งภายใต้ บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) มีแนวโน้มขาดทุนลดลง และจะกลับมามีกำไรได้ในปี 60 เป็นผลมาจากราคาถ่านหินที่สูงขึ้นและการนำเข้าถ่านหินที่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันบริษัทได้จัดตั้งบริษัท พีเอ็ม ทีพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 59 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการเริ่มลงทุนโครงการแรกได้ในช่วง 6 เดือน ถึง 1 ปี โดยรูปการลงทุนยังอยู่ระหว่างการศึกษาซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งการซื้อที่ดินมาพัฒนาเอง การซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่มาพัฒนาและขายต่อ รวมถึงการร่วมทุนกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยการที่บริษัทจัดตั้งบริษัทดังกล่าวขึ้นมาเพื่อต้องการสร้างผลการดำเนินงานที่มั่นคงและสม่ำเสมอ รวมถึงเป็นการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจเดิม
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจใหม่และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆในปัจจุบันจำนวนราว 10 ดีล ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนอย่างน้อย 1 ดีล ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 60 โดยรูปแบบจะเป็นการเข้าซื้อกิจการ โดยบริษัทมีความสนใจธุรกิจประเภทโลจิสติกส์ สินค้าโภคภัณ์ และธุรกิจข้องกับสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและพลังงาน โดยบริษัทมั่นใจว่ามีเงินทุนที่เพียงพอต่อการลงทุน เพราะปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดในมือราว 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท สามารถรองรับการลงทุนใหม่ๆได้ทั้งหมด
อีกทั้งในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาบริษัทได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ Suez Environnement South East Asia Limited โดยบริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้น จำนวน 51% และพันธมิตรถือหุ้นจำนวน 49% ในบริษัทร่วมทุน TTA Suez โดยวัตถุประสงค์ในการลงทุนนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุนธุรกิจน้ำดื่มและการให้บริการบำบัดน้ำเสียแก่ภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย