โบรกฯเชียร์"ซื้อ"TTA หลังค่าระวางฟื้น-เข้าใกล้จุดคุ้มทุนที่ BDI 1,200 จุดหนุน 3 ธุรกิจหลักกำไร

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 29, 2016 17:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) หลังค่าระวางเรือฟื้น-กลุ่มธุรกิจเรือเทกองเข้าใกล้จุดคุ้มทุนที่ BDI 1,200 จุด จะเป็นจุดที่ทำให้ทั้ง 3 ธุรกิจหลักมีกำไรพร้อมกัน ดังนั้น ทิศทางผลกำไรคาดจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง

ล่าสุด ดัชนีค่าระวางเรือ (BDI) ปิดวันทำการล่าสุดที่ 1,184.00 จุด เพิ่มขึ้น 3.00 จุด หรือ 0.25%

นอกจากนั้น ราคาหุ้น TTA ซื้อขายที่ PBV ณ สิ้นปี 60 ที่ 0.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 0.9 เท่า และค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 0.7 เท่า สะท้อนแนวโน้มงบไตรมาส 4/59 ที่คาดอ่อนตัวลงแล้ว เชื่อว่าจากนี้ตลาดเดินเรือเทกองที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นหนุน โดยความสมดุลของอุปสงค์และอุปทานที่ปรับตัวดีขึ้น

ราคาหุ้น TTA ปิดตลาดวันนี้ที่ 10.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท (+5.21%)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

          โบรกเกอร์             คำแนะนำ            ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          บล.ฟิลลิป                ซื้อ                 10.50
          บล.บัวหลวง           ซื้อเก็งกำไร             11.70
          บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง       ซื้อ                 12.60
          นายสยาม ติยานนท์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดว่าในปี 60 ดัชนี BDI จะฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังจากบริษัทเรือล้มละลายและความต้องการขนส่งที่จะสูงขึ้นกว่า supply ของเรือใหม่ ช่วยหนุนให้นค่าระวางเรือของ บริษัท โทรีเซนชิปปิ้ง กรุ๊ป (TSG) ดีขึ้น และน่าจะถึงจุดคุ้มทุนได้
          ขณะที่ บมจ.เมอร์เมด มาริไทม์ (Mermaid) ก็คาดจะมีทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน โดยมีปริมาณงานในมือ (Backlog) โอนมา 124 ล้านดอลลาร์ และคาดระหว่างทางจะเพิ่ม Backlog ได้อีก ยกเว้นงานแท่นขุดเจาะของ บริษัท เอเชีย ออฟชอร์ ดริลลิ่งค์ จำกัด (AOD) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่เมอร์เมดถือหุ้นอยู่ จะให้ส่วนแบ่งกำไรลดลง
          ส่วน บมจ.พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ (PMTA) ยังคงมีกำไร และ บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) ต้องหาธุรกิจเพิ่มเพื่อให้กลับมามีกำไร
          ด้านแผนการเข้าซื้อกิจการใหม่ ๆ คาดว่าจะสามารถทำได้สำเร็จ แต่ยังคงต้องรอดูว่าเป็นการกิจการที่มีนัยสำคัญหรือไม่
          ทั้งนี้ คาดว่าในปีหน้า TTA จะมีรายได้จากการขายและบริการกลับมาเติบโตที่ 17,623 ล้านบาท และพลิกเป็นกำไรที่ 309 ล้านบาท จึงปรับการอิง P/B เฉพาะกิจการจาก 0.7 เท่า เป็น 0.9 เท่า ราคาพื้นฐานปรับเป็น 10.50 บาท และปรับคำแนะนำขึ้นจาก"ขาย"เป็น"ซื้อ"
          อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามเรื่อง Tender Rig 2 ลำ และเรือ subsea 1 ลำ จะจัดการอย่างไร จากปัจจุบันที่ TTA เลื่อนการรับมอบออกไป
          บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงาน TTA ในไตรมาส 4/59 จะฟื้นต่อเนื่องด้วยระดับ BDI ที่ทิศทางดีขึ้น โดยมองว่าจะทำให้กลุ่มธุรกิจเรือเทกองเข้าใกล้จุดคุ้มทุนได้ที่ระดับดัชนีที่ราว 1,200 จุด ซึ่งจะเป็นจุดที่ทำให้ทั้ง 3 ธุรกิจหลักมีกำไรพร้อมกัน ดังนั้น ทิศทางผลกำไรคาดจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งไตรมาส 3/59 พลิกมารายงานกำไรสุทธิได้ตามที่ประเมินไว้ราว 7 ล้านบาท จากขาดทุน 31 ล้านบาทในไตรมาส 2/59 อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ผลกำไรยังอ่อนแอกว่าปีก่อน เนื่องจากฐานกำไรสูง จากการอยู่ในสิ่งแวดล้อมการทำธุรกิจที่ดีกว่าที่ BDI เฉลี่ย 974 จุด เทียบกับ ไตรมาส3/59 นี้ที่ 736 จุด
          ส่วนในภาพการดำเนินงานปกติไตรมาส 3/59 เมื่อหักขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 41 ล้านบาท และ การสำรองด้อยค่าจากสินทรัพย์ 72 ล้านบาท ออกไป TTA จะรายงานกำไรปกติได้ที่ 119 ล้านบาท และพลิกจากขาดทุน 5 ล้านบาทในไตรมาส2/59 และกำไร 294 ล้านบาทในไตรมาส 3/58 ด้วยเหตุผลเดียวกัน
          โดยกลุ่มธุรกิจ 2 ใน 3 ทำผลงานได้ดี  ขณะที่ธุรกิจเดินเรือมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากค่าระวางนี้สามารถฟื้นตัวต่อเนื่อง แม้ในไตรมาส 3/59 ยังให้ผลขาดทุน 223 ล้านบาท เนื่องจากระดับค่าระวางที่ทำได้ 5,473 เหรียญ/ ลำ/ วัน ยังคงต่ำกว่าจุดคุ้มทุนที่ 7,145 เหรียญ/ ลำ/ วัน หรือ 23%
          ส่วนธุรกิจพลังงานนั้น พบว่าบันทึกกำไรจาก Mermaid เข้ามาราว 152 ล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่เป็นอัตราที่ลดลงจากปีก่อน เนื่องจากส่วนแบ่งกำไรจากเรือขุดน้ำมันของ AOD ลดลง 73% เนื่องจากลูกค้าได้ขอเจรจาลดค่าจ้างลงมา ภายหลังราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวมาต่ำ 40-50 เหรียญฯ/บาร์เรล อย่างไรก็ดี อัตรากำไรขั้นต้นยืนได้ดี 32% เนื่องจากงาน Cable laying ซึ่งให้มาร์จิ้นต่ำทยอยหมดไป
          สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภคนั้น UMS ขาดทุนเพียง 7 ล้านบาท ลดลงต่อเนื่องจาก 10 ล้านบาทในไตรมาส 2/59 เนื่องจากผลของการปรับโครงสร้างต้นทุนก่อนหน้า ขณะที่ยอดขายถ่านหินเพิ่มขึ้น 38% เป็น 47,000 ตัน ส่วน PMTA ก็ส่งผลกำไรเข้ามา 52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสก่อน โดยผลักดันจากต้นทุนที่เกี่ยวเนื่องด้านปิโตรเคมี ตามราคาน้ำมันดิบลดลง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นทำได้สูงถึง 29.9% จาก 25.2% ใน ไตรมาส 2/59 และ 23.1% ใน ไตรมาส 3/58
          ด้านบทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า ราคาหุ้น TTA ปัจจุบันซื้อขายที่ PBV ณ สิ้นปี 60 ที่ 0.6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 0.9 เท่า และค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 0.7 เท่า สะท้อนแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/59 ที่คาดว่าจะอ่อนตัวลงไปแล้ว อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ตลาดเดินเรือเทกองที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นหนุน โดยความสมดุลของอุปสงค์และอุปทานที่ปรับตัวดีขึ้น จะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป
          สำหรับแนวโน้มดัชนี BDI เฉลี่ยในไตรมาส 4/59 ถึงปัจจุบันสูงขึ้น 38% จากช่วงปีก่อน มาอยู่ที่ 885 จุด โดยปัจจัยหนุนดัชนี BDI คือ อุปสงค์โดยรวมที่สูงขึ้น และอุปสงค์ต่อการขนส่งด้วยเรือเทกองที่สูงขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล จึงคาดว่าผลประกอบการของธุรกิจเดินเรือจะปรับตัวดีขึ้นทั้ง อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งคาดว่าจะอ่อนตัวลงทั้ง เนื่องจากผลการดำเนินงานของแท่นขุดเจาะ และการให้บริการวางสายเคเบิ้ลใต้น้ำคาดว่าจะอ่อนตัวลง ขณะที่คาดว่าผลประกอบการของ UMS จะดีขึ้น
          ดังนั้น โดยภาพรวมคาดว่ากำไรหลักของ TTA ในไตรมาส 4/59 จะลดลง แต่คาดว่าผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรสุทธิ จากขาดทุนสุทธิในไตรมาส 4/58 เนื่องจากมีการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์จำนวนมากในไตรมาส 4/58 ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้กำไรหลักลดลง ได้แก่ 1) ผลการดำเนิงานของธุรกิจขนส่งทางเรือที่อ่อนแอลง และ 2) ผลการดำเนินงานของธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งที่อ่อนตัว ด้วยอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือให้บริการใต้น้ำลดลง, การให้บริการวางสายเคเบิ้ลใต้น้ำลดลง, และผลการดำเนิน งานของแท่นขุดเจาะของ AOD ลดลง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ