นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก (GBS) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่จะเข้ามาในช่วงท้ายปี อย่างไรก็ตามความกังวลต่อการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.จะยังคงกดดันทิศทางดัชนี
ดังนั้น ประเมินว่า SET จะเคลื่อนไหวในรูปซิกแซกขาขึ้น และมีสลับพักตัว เพื่อทดสอบแนวต้าน 1,510-1,520 จุด โดยแนะนำ ซื้อเก็งกำไรแบบ Selective Buy ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากราคายางพาราทำระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี แนะนำ STA และ TRUBB และหุ้นที่คาดว่าจะเข้าคำนวณ SET50 รอบใหม่ แนะนำ GL ,THAI และ BJC
ด้านนางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทยอยออกมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะแอคชั่นแพลนของกระทรวงคมนาคมที่จะเร่งลงทุน 20 โครงการ วงเงิน 1.4 ล้านล้านบาท โดยคาดเสนอเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนม.ค.60 และแรงซื้อกองทุน LTF และ RMF ในช่วงปลายปี ประกอบกับปัจจัยบวกจากต่างประเทศในเรื่องที่โพลล์คาดธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะขยายเวลามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) 8 หมื่นล้านยูโร/เดือนออกไปอีก 3-6 เดือน จากเดิมสิ้นสุดมี.ค.60
ทั้งนี้ ยังคงมีความกังวลจากตัวเลขการส่งออกไทยเดือน ต.ค.พลิกเป็นลดลง 4.2% ขณะที่การส่งออกในช่วง 10 เดือนแรกของปี 59 หดตัว 1% การนำเข้า หดตัว 5.9% ส่งผลให้เกินดุล 1.82 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับการที่เฟด ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้ เนื่องจากตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและการจ้างงานที่แข็งแกร่ง และนักลงทนต่างชาติ มียอดขายสุทธิ สะสมตั้งแต่เดือนต.ค. ราว 5 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ วันที่ 1 ธ.ค. คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ (Beige Book) และสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ รวมทั้งการเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) และจีน
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ราคาทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 25 เหรียญ/ทรอยออนซ์ หรือคิดเป็น 2.07% ปิดที่ระดับ 1,183 เหรียญ/ทรอยออนซ์ โดยมีปัจจัยกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ จากมุมมองเชิงบวกต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ รวมถึงแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่มีน้ำหนักมากขึ้นจากรายงานการประชุมเฟด ที่ระบุว่ากรรมการเฟดสนับสนุนให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ ผลสำรวจของ CME Group Fed Watch ระบุนักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 100% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ อย่างไรก็ตามราคาทองคำเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้างในช่วงต้นสัปดาห์หลังค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจากแรงขายทำกำไรค่าเงิน แต่แรงกดดันจากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค.ยังเป็นแรงกดดันอยู่
สำหรับแนวโน้มราคาทองโลกนั้น ราคาทองปิดตัวเป็นแท่งเทียนสัญญาณบวกผ่านยืนแนวต้านเส้น 5 วันหลังเกิดแท่งเทียนสัญญาณฟื้นตัว SPINING BOTTOM ถือเป็นสัญญาณบวกต่อเนื่อง ขณะที่ค่าสัญญาณ RSI ที่มีภาวะ OVERSOLD และสัญญาณ BULLISH DIVERGENCE เป็นสัญญาณบวกเสริม ทำให้ราคามีโอกาสฟื้นตัวขึ้นต่อ โดยมีแนวรับ 1,175-1,170 เหรียญ/ทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,215-1,220 เหรียญ/ทรอยออนซ์