นายเมธา อังวัฒนพาณิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและโครงการแนวราบ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายโครงการแนวราบในปี 60 อยู่ที่ 1.4-1.45 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะมียอดขายเพียง 1.3 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 1.4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากกิจกรรมทางการตลาดชะลอตัวตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา
ยอดขายโครงการแนวราบในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นตามแผนการเปิดโครงการใหม่ ซึ่งบริษัทมีแผนเปิดโครงการแนวราบทั้งหมด 10 โครงการ มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท เน้นโครงการในระดับราคา 5-14 ล้านบาท/ยูนิต ภายใต้แบรนด์บุราสิริ และเศรษฐสิริ เนื่องจากทั้ง 2 แบรนด์มีลูกค้าจำนวนมากให้ความสนใจและได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงมีทำเลและขนาดพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี และไม่ค่อยมีปัญหาลูกค้าถูกธนาคารปฏิเสธสินเชื่อในการขอพิจารณาอนุมัติสินเชื่อล่วงหน้าก่อนการทำสัญญา (Pre-approve)
นายเมธา กล่าวว่า แนวโน้มของอัตราการปฏิเสธสินเชื่อในโครงการแนวราบของบริษัท ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20% จากเดิมที่ 10% ส่วนใหญ่จะมาจากโครงการของแบรนด์คณาสิริ ระดับราคา 3-5 ล้านบาท/ยูนิต มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่ค่อนข้างสูง รวมถึงประชาชนมีความสามารถการชำระหนี้หรือการผ่อนชำระที่ลดลง จากภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและมีการลดวงเงินการให้สินเชื่อกับลูกค้าลง จากเดิมที่ให้วงเงินสินเชื่อ 100% ส่งผลกระทบต่อการขอสินเชื่อของลูกค้า
"ปีหน้าการเปิดโครงการแนวราบใหม่เราก็จะเน้นไปที่โครงการระดับราคา 5-14 ล้านบาท ก็จะเป็นแบรนด์บุราสิริและเศรษฐสิริ เพราะทั้ง 2 แบรนด์นี้เป็นตลาดที่มีเม็ดเงินที่ใหญ่ แม้ว่าทั้ง 2 แบรนด์นี้จะมีจำนวนยูนิตไม่มาก แต่คุ้มค่าและเป็นโครงการที่ลูกค้าต้องการมากกว่า เพราะได้เรื่องทำเลกับพื้นที่ใช้สอยไนบ้าน และยังมีความเสี่ยงในการขอสินเชื่อที่น้อยกว่า จะเห็นจากโครงการคณาสิริของเราที่ระดับราคา 3-5 ล้านบาท เราขายบ้านโครงการบุราสิริและเศรษฐสิริหลังเดียวเราได้เม็ดเงินเท่ากับเราขายโครงการคณาสิริถึง 2 หลัง และโครงการระดับราคา 3 ล้าน ก็ยังมีความเสี่ยงที่แบงก์จะไม่ปล่อยกู้ให้อยู่สูง เพราะตอนนี้ยอมรับว่าแบงก์ก็เข้มงวดมาก และลูกค้าก็มีกำลังผ่อนลดลง"นายเมธา กล่าว
นายเมธา กล่าวว่า แนวโน้มภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 60 มองว่าจะเติบโตจากปีนี้ได้เล็กน้อย โดยมีปัจจัยหนุนมาจากการลงทุนโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐที่มีความชัดเจนขึ้น ทำให้มีเม็ดเงินออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ และความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามราคาที่ดินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ได้เรื่องค่าแรง ค่าก่อสร้าง และค่าวัสดุก่อสร้างที่ลดลงเข้ามาชดเชย ทำให้ราคาบ้านยังคงทรงตัว ไม่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่วนยอดขายโครงการแนวราบในช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ทำได้ 1.1 หมื่นล้านบาท โดยการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงกลางเดือนตุลาคมชะลอตัว ทั้งกิจกรรมทางการตลาด ,การซื้อ และการโอน ส่งผลกระทบต่อการขายโครงการในช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันเริ่มมีลูกค้ากลับมาเข้าชมโครงการ ตลอดจนการซื้อและการโอนกลับมาฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยบ้างแล้ว
ล่าสุด บริษัทได้เปิดโครงการบุราสิริ ราชพฤกษ์-345 มูลค่าโครงการ 2.4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวโครงการสุดท้ายของปีนี้ ราคาขาย 5.29-14 ล้านบาท/ยูนิต ขนาดที่ดิน 50.4-127 ตารางวา จำนวนยูนิตทั้งหมด 110 ยูนิต ในเฟสที่ 1 จากทั้งหมด 339 ยูนิต โดยปัจจุบันขายได้แล้ว 40 ยูนิต มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท
SIRI มองว่าทำเลบนถนนราชพฤกษ์ถือว่าเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของกรุงเทพฯฝั่งตะวันตก เพราะมีการเชื่อมกับถนนเส้นอื่น ๆ และมีสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จึงมีความเจริญกระจุกตัวอยู่รายรอบทั้ง 2 ฝั่ง ทำให้เหมาะแก่การอยู่อาศัย ส่งผลให้โครงการที่อยู่อาศัยที่พัฒนาขึ้นในโซนราชพฤกษ์ได้รับการตอบรับที่ดี เพราะมีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวราคาระดับ 5 ล้านบาทขึ้นไปที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าในโซนดังกล่าวเป็นพิเศษ