KTBST มองกรอบหุ้นไทยเดือนธ.ค.ที่ 1,550-1,580 จุด รับปัจจัยบวกราคาน้ำมัน-มาตรการกระตุ้นศก.ในปท.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 6, 2016 10:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล. เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นเดือนธ.ค. ว่า ทิศทางตลาดที่มีแนวโน้มในทางบวก โดยมองเป้าหมาย SET Index ที่ระดับ 1,550-1,580 จุด เป็นผลจากการที่ปัจจัยสำคัญ ๆ มีความชัดเจน หรือผ่านไปแล้วหลายปัจจัย อาทิการเลือกตั้งสหรัฐฯ , ราคาน้ำมัน , การเมืองภายในประเทศ จะทำให้ตลาดหุ้นเดือนธ.ค.มีความผันผวนน้อยลง และมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้นจากสองปัจจัยหลัก คือ ราคาน้ำมันดิบที่ส่งผลบวกต่อหุ้นน้ำมันและเศรษฐกิจโลก และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ จากภาพตลาดที่เป็นบวก จะทำให้มีเงินเข้ามาซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มากขึ้นด้วย จึงคาดว่าดัชนีเดือนนี้มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อน

โดยปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นในเดือนธันวาคม ได้แก่ นโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ที่นักลงทุนกำลังรอดูว่านโยบายใดจะทำได้บ้าง โดยที่นโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศ การลดภาษีและการลงทุนภาครัฐ เป็นนโยบายที่สำคัญต่อตลาด รวมไปถึงเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่จะส่งผลให้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ประเทศต่าง ๆ ชะลอหากสหรัฐฯขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องมาถึงต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและทำให้นักลงทุนลดพอร์ตลงทุนในพันธบัตรลง

ขณะที่ปัจจัยต่อมาคือ การที่ประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) สามารถบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิตน้ำมันลง ช่วยลดความกังวลเรื่องปริมาณน้ำมันเกิดความต้องการ (over supply) ตลาดที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยประเทศซาอุดิอาระเบียลดการผลิตลงมากที่สุดราว 5 แสนบาร์เรลต่อวัน ข้อกำหนดดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2560 โดยจะกลับมาพิจารณาข้อกำหนดดังกล่าวอีกครั้งในวันที่ 25 พฤษภาคม 2560

ขณะเดียวกันกันทางกลุ่มโอเปก ยังคาดหวังว่าผู้ผลิตนอกกลุ่มจะสามารถร่วมมือลดการผลิตได้เพิ่มอีกราว 6 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยมีการส่งสัญญาณอย่างไม่เป็นทางการว่า รัสเซียจะลดกำลังการผลิตของตนเองลงราว 3 แสนบาร์เรลต่อวัน ขณะที่เม็กซิโกและโอมาน คาดจะลดได้รวมกว่า 1.95 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งกลุ่มโอเปก มีกำหนดการในการเข้าประชุมกับผู้ผลิตนอกกลุ่มเพื่อหารือเกี่ยวกับการลดปริมาณอีกครั้งในวันที่ 9 ธันวาคมนี้

ทั้งนี้จากข้อตกลงดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันและหุ้นกลุ่มพลังงานทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้ง WTI และ BRENT ปรับตัวสูงขึ้นซึ่งหากผู้ผลิตนอกกลุ่มประกาศเข้าร่วมการลดปริมาณการผลิตลงด้วยก็จะผลักดันให้ภาพรวมตลาดน้ำมันดูดีขึ้นอีกได้ เป็นการส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันและยังทำให้เงินเฟ้อปรับตัวขึ้น แต่เป็นลบต่อผู้ใช้วัตถุดิบที่อ้างอิงมาจากราคาน้ำมัน

KTBST ประเมินว่า แนวโน้มจากนี้ไปราคาน้ำมันจะมีเสถียรภาพมากขึ้นเพราะจะมีความร่วมมือในแบบนี้ขึ้นอีก โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน WTI ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 55-60 เหรียญฯต่อบาร์เรล

ส่วนปัจจัยสุดท้ายคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยทีเป็นแรงกระตุ้นตลาดหุ้นที่สำคัญ อันเป็นผลจากนโยบายรัฐบาล ในด้านต่าง ๆ อาทิ เร่งใช้จ่ายของหน่วยงานของรัฐ , เร่งการลงทุนภาครัฐและงานประมูลต่าง ๆ , การให้เงินช่วยเหลือและลดภาษีกระตุ้นการใช้จ่าย ส่งผลให้ผลิตภัฑณ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/59 ไม่หดตัวอย่างที่คาดการณ์กัน ขณะเดียวกันจากการเร่งลงทุนดังกล่าวจะทำให้ ปี 2560 เศรษฐกิจจะยังขยายตัวดีเช่นกัน

นายวิน ยังกล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเดือน ธ.ค. บล.KTBST ประเมินว่า ทิศทางตลาดที่มีแนวโน้มในทางบวก จึงเป็นเดือนที่ควรสะสมหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่คาดว่าจะนำตลาดคือหุ้นใหญ่ในกลุ่มที่นักลงทุนสถาบันฯเข้าลงทุน กลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการภาครัฐฯ (Domestic Play) นำโดยกลุ่มรับเหมาฯ เป็นต้น ประเด็นทีอาจจะส่งผลต่อได้ในดือนนี้จะเป็น การลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญของอิตาลีที่จะมีผลต่อการเมืองของอิตาลีและยุโรป ในเรื่องการออกจากการเป็นสมาชิกยูโรโซน และการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 14 ธ.ค. ขณะที่แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศจะมีผลต่อตลาดเช่นกัน โดยมองหุ้นที่น่าสนใจในเดือน ธ.ค. ได้แก่ AOT , BH , SCC , SMT , SQ , UNIQ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ