โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) หลังคาดกำไรน่าจะดีขึ้นในไตรมาส 4/59 และปี 60 จากมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากจากโครงการลงทุนระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐที่คาดว่าจะมีออกมาจำนวนมากในปีหน้า อีกทั้งยังมีอัพไซด์งานรถไฟทางคู่ ซึ่งอาจหนุนมาร์จิ้นดีกว่าคาด
โดยมองแนวโน้มงานประมูลโครงการขนาดใหญ่ที่เด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ จะช่วยหนุนความต้องการผู้รับเหมางานฐานรากได้อย่างดีในช่วงปี 60-63 พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนในการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเกิดโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวรถไฟฟ้า และด้วยโอกาสในการชนะงานประมูลที่สูงกว่า 30% พร้อมอัตรากำไรในระดับที่ดี นอกจากนี้ บริษัทยังมองหางานจากต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงในการรับงาน หลังล่าสุดรับงานก่อสร้างในเมียนมา นับเป็นนิมิตรหมายอันดี และทำให้มีโอกาสที่จะได้งานอีกมากในอนาคต
ราคาหุ้น SEAFCO ช่วงบ่ายอยู่ที่ 10.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท (+0.93%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย บวก 0.46%+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 12.16 บัวหลวง ซื้อ 13.50 เออีซี ซื้อ 12.50 ทรีนีตี้ ซื้อ 13.00 ทิสโก้ ซื้อ 13.40 +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะ"ซื้อ"ราคาพื้นฐาน 12.16 บาท โดยมองบวกต่อการที่บริษัท ซีฟโก้ เมียนมาร์ จำกัด ซึ่ง SEAFCO ถือหุ้นอยู่ 80% ได้งานเสาเข็มเจาะและกำแพงกันดินของโรงแรม Regalia ในเมียนมา มูลค่า 55 ล้านบาท แม้มูลค่างานสุทธิที่ได้รับตามสัดส่วนการถือหุ้นนั้นจะอยู่ที่ 44 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่มีประมาณ 1 พันล้านบาท แต่ถือว่าเป็นนิมิตรหมายอันดี และมีโอกาสได้รับงานจากประเทศนี้อีกมาก เพราะมีศักยภาพในการเติบโตสูง
โดยงานในเมียนมาดังกล่าว นับเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่ง SEAFCO ตั้งเป้าหมายว่าในอนาคตสัดส่วนรายได้จากเมียนมาจะเป็น 10% ของรายได้รวม เพื่อกระจายความเสี่ยงที่จะพึ่งพิงแต่งานในประเทศอย่างเดียว
ทั้งนี้ คาดว่าปีผลการดำเนินงานในปี 60 จะสดใสขึ้น จากการมีโอกาสได้งานโครงการรถไฟฟ้าจากพันธมิตรคือ บมจ.ช.การช่าง (CK) โดยมองกำไรหลักของ SEAFCO จะกลับมาเติบโต 45% เป็น 218 ล้านบาท จากปี 59 ที่เพิ่มขึ้นเพียง 3% เป็น 150 ล้านบาท เนื่องจากช่วงไตรมาส 3/59 มีอุปสรรคจากงานทางลอดพรานนก ที่มีต้นทุนสูงผิดปกติ และการเริ่มงานรถไฟทางคู่ จิระ-ขอนแก่นประสบปัญหาฝนตก แต่ปัจจุบันเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
"วันนี้จะมีอัพเดทข้อมูลจากผู้บริหารเพิ่มเติมถึงแนวโน้มในอนาคต ซึ่งก็เชื่อว่าอุปสรรคที่เกิดในไตรมาส 3 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว"นายสมบัติ กล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เออีซี แนะ"ซื้อ"ให้ราคาพื้นฐาน ที่ 12.50 บาท เนื่องจากเป็นผู้นำเสาเข็มเจาะในไทยที่มีศักยภาพรับงานและส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในไทย ขณะที่คาดในปี 60-61 กำไรจะพลิกโตโดดเด่นเฉลี่ยปีละ 37.8% หลังเข้าสู่ปีทองของงานฐานราก จากแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐตาม Action Plan ซึ่งหากประเมินงานฐานราก (เฉพาะค่าแรงซึ่งมีมาร์จิ้นสูง) จากโครงการที่คาดทราบผลประมูลต้นปีหน้า จะมีมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท และยังมีงานฐานรากอีกกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท จากโครงการที่ค้างอยู่ใน Action Plan ซึ่งคาดจะประมูลได้ในระยะถัดไป
ขณะเดียวกันยังมีงานก่อสร้างอาคารคอนโดมิเนียม ของภาคเอกชนที่จะเกิดขึ้นตามแนวส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ จากปัจจุบันที่มีระยะทางรวม 124 กิโลเมตร เป็น 209 กิโลเมตรในช่วง 4 ปีข้างหน้า
บล.บัวหลวง แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท โดยมองราคาหุ้น SEAFCO ยังคงมีปัจจัยหนุนให้ไปต่อได้ จากกำไรที่จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากอ่อนแอในช่วงไตรมาส 3/59 เป็นผลจากโครงการทางลอดพรานนก ซึ่งเป็นโครงการที่จบไปแล้ว แต่คาดกำไรปี 60 จะเติบโตสูง 45% เป็น 217 ล้านบาท หลังได้รับอานิสงส์จากงานรถไฟฟ้า 3 สาย ซึ่งจะช่วยให้มีงานมากพอสำหรับรายได้ทั้งปี ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเปิดซองฯ ซึ่งคาดกลางเดือนธ.ค.จะรู้ผลผู้ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง และต้นปีหน้ารู้ผลสายสีส้ม คาดจะเห็นผู้รับเหมาหลักส่งงานต่อให้ผู้รับเหมารากฐานอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปีหน้า
นอกจากนี้ช่วงไตรมาส 1/60 ยังมีการเปิดประมูลงานรถไฟทางคู่อีก 5 สาย ซึ่งคาดว่างานที่ออกมาเป็นจำนวนมากจะช่วยให้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้นตามการแข่งขันที่ลดลงด้วย
ทั้งนี้ ยังคงมั่นใจว่าปีหน้าจะมีงานรากฐานออกมาเป็นจำนวนมากราว 3-7 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้มีงานมากพอสำหรับรายได้ทั้งปี มาจากรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.4 กิโลเมตร) วงเงิน 5.5 หมื่นล้านบาท,สายสีชมพู (ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กิโลเมตร) วงเงิน 5.7 หมื่นล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอ คาดจะได้ผู้ชนะการประมูลในเดือน ธ.ค.นี้ ตามนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนับเร็วกว่าแผนงาน 1 เดือน และสายสีส้ม (ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ระยะทาง 21 กิโลเมตร) ขณะนี้ได้เปิดซองข้อเสนอด้านคุณสมบัติและข้อเสนอด้านเทคนิคแล้ว คาดจะเปิดซองข้อเสนอด้านราคาในช่วงเดือน ก.พ.60 และคาดว่าจะลงนามได้เดือน เม.ย.60
นอกจากนี้ SEAFCO ยังมีอัพไซด์จากมาร์จิ้นที่มีโอกาสดีกว่าคาดจากงานที่ออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีโครงการรถไฟทางคู่อีก 5 เส้นทาง ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย จะเปิดขายเอกสารประมูลในวันที่ 13-20 ธ.ค.นี้ กำหนดยื่นข้อเสนอเทคนิคในเดือนม.ค.60 คาดว่าจะลงนามสัญญาได้ในวันที่ 21 มี.ค.60 ได้แก่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร วงเงิน 2.9 หมื่นล้านบาท,ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร วงเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท,ช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กิโลเมตร วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท,ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กิโลเมตร วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท และช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90 กิโลเมตร วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท
ส่วนในไตรมาส 4/59 คาดกำไรหลักของ SEAFCO จะเติบโตสูงจากฐานต่ำทั้งเมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาสก่อน เป็นประมาณ 40-45 ล้านบาท เพราะงานใน backlog ที่เหลืออยู่คาดจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่กลับเป็นปกติเพราะมีสัดส่วนงานเฉพาะค่าแรงที่มาร์จิ้นสูงอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังไม่กังวลต่อประเด็น cost overrun ที่เกิดขึ้นในไตราส 3/59 จากโครงการทางลอดพรานนกเพราะเป็นงานที่บริษัทปิดโครงการไปแล้ว และงานของบริษัท มีลักษณะงานที่สั้นทำงานจบเร็ว คาดผลกระทบต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้วจะจำกัด