หุ้น BTS ,STEC, RATCH ปรับตัวขึ้น โดยเมื่อเวลา 10.00 น. หุ้น BTS บวก 2.31% อยู่ที่ 8.85 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท ขณะที่หุ้น STEC บวก 2.73% อยู่ที่ 28.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท และหุ้น RATCH บวก 1.49% อยู่ที่ 51.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท
ขณะที่เมื่อวานนี้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ระบุว่า คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ. เอกชนร่วมลงทุนฯ พ.ศ.2556 ได้ประเมินเอกสารข้อเสนอซองที่ 1 (ด้านคุณสมบัติและเทคนิค) และเอกสารข้อเสนอซองที่ 2 (ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีผลสรุปว่า กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR Joint Venture) ซึ่งประกอบด้วย บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) เป็นเอกชนผู้ผ่านการประเมินสูงสุด
ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่าโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 2 เส้นทางมีมูลค่าโครงการรวม 1.05 แสนล้านบาท อายุสัมปทาน 33 ปี 3 เดือน หลังจากนี้รฟม.จะเจรจาต่อรองกับกลุ่ม BSR ให้ได้ข้อสรุปภายในมี.ค.-เม.ย.60 ซึ่งยังไม่สามารถประเมินมูลค่า BTS ได้เพราะบริษัทไม่เปิดเผยรายละเอียดจนกว่าจะเซ็นสัญญาในปีหน้า
ขณะที่บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กรณีนี้เป็นบวกกับหุ้นในกลุ่ม BSR โดย BTS มีโอกาสที่จะแสวงหาผลประโยชน์ได้ในระยะยาวจากการบริหารการเดินรถได้ถึง 30 ปี อีกทั้งยังเป็นการเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน ทำให้มีผู้โดยสารสามารถเพิ่มเข้ามาในระบบได้มากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้บมจ.วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย (VGI) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มก็มีโอกาสจะโฆษณาบนรถไฟฟ้าได้ด้วย เช่นเดียวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คอนโดมิเนียมที่ร่วมกับบมจ.แสนสิริ (SIRI) ในนามบริษัทร่วมทุน
อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามในหลายประเด็นทั้งส่วนแบ่งรายได้ที่ให้กับทางการ (revenue sharing) ,จำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตว่าจะทันกับส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายให้รัฐหรือไม่ และฐานะการเงินจะต้องใช้เงินกู้อีกจำนวนมาก เพราะต้องลงทุนไปก่อน ซึ่งมูลค่าทั้งสองโครงการสูงถึงระดับ 1 แสนล้านบาท
ส่วน STEC ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรถไฟฟ้าถึง 2 โครงการ จะได้รับงานก่อสร้างในมือเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยคาดว่า STEC จะถือหุ้นส่วนน้อยในกลุ่ม BSR จึงมีภาระใช้เงินลงทุนไม่สูง