นายองอาจ ปัณฑุยากร กรรมการผู้จัดการ บมจ.ออลล่า (ALLA) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ผลประกอบการจะเติบโตจากไตรมาส 3/59 เนื่องจากบริษัทฯจะสามารถทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ณ สิ้นเดือนพ.ย. ที่มีอยู่ 352 ล้านบาท มาบางส่วน และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 60 ซึ่งจะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้ในปีหน้าเติบโตแตะระดับ 1 พันล้านบาท นอกเหนือจากการรุกเข้าประมูลงานภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้นตามปริมาณงานที่จะมีออกมามากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ Backlog ที่ทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ส่วนใหญ่เป็นงานเครน และรอกไฟฟ้าสำหรับหลายอุตสาหกรรม และส่วนหนึ่งจะมาจากงานเครนสำหรับโรงไฟฟ้าขยะในประเทศ ที่บริษัทฯเริ่มรับงานเครนโรงไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น
ในขณะเดียวกันบริษัทฯได้ดำเนินการขยายตลาดเพื่อสร้างฐานลูกค้าในต่างประเทศ โดยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ PT. WIRYA KRENINDO PERKASA (Ekatama group) ผู้ผลิต จำหน่าย และติดตั้งเครน และรอกไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อผลิต จำหน่าย และติดตั้งเครน และรอกไฟฟ้า และประตูอุตสาหกรรมในประเทศอินโดนีเซีย ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าหลักในประเทศอินโดนีเซียจะเป็นกลุ่มลูกค้าเครนรับเหมา และประตูอุตสาหกรรมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ขยายฐานการการผลิตในประเทศอินโดนีเซีย โดยคาดว่าหลังจากดำเนินการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน และสามารถจัดตั้งสำนักงานขายได้ภายในไตรมาสแรกของปี 60
"ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะเห็นการฟื้นตัวของผลประกอบการที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากการทยอยรับรู้รายได้จาก Backlog เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และจะเห็นสัญญาณการปรับตัวที่ดีขึ้นในปี 60 จากการลงทุนของหลาย ๆ อุตสาหกรรมในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการขยายตลาดในประเทศอินโดนีเซียที่เราคาดว่าจะสามารถเข้ารับงาน และรับรู้รายได้เข้ามาได้ในปีหน้าทันที จะเป็นตัวเสริมที่สำคัญที่ทำให้ผลประกอบการในปีหน้าเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่นอีกด้วย"นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ คาดว่ารายได้ในปีนี้น่าจะลดลงจากระดับ 870 ล้านบาทในปีที่แล้ว หลังช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ทำรายได้ได้เพียง 425.54 ล้านบาท จากงานภาครัฐและเอกชนที่ชะลอตัว แต่ในปีหน้าคาดว่ารายได้จะกลับมาเติบโตแตะระดับ 1 พันล้านบาทเท่ากับในปี 57 เนื่องจากภาครัฐและเอกชน จะเปิดประมูลงานมากขึ้น โดยเร็ว ๆ นี้ก็อยู่ระหว่างเตรียมเข้าประมูลงานภาคเอกชน ในส่วนของงานเครนที่ใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมยานยนต์ มูลค่ารวมราว 1 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดหวังจะได้รับงานดังกล่าวด้วย
สำหรับในปีหน้า บริษัทจะใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในการก่อสร้างคลังสินค้าของบริษัทย่อย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้รับเหมา คาดจะแล้วเสร็จภายในปี 60 โดยวางงบลงทุนไว้ที่ 84 ล้านบาท ,ขยายกิจการ โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในอินโดนีเซีย จำนวน 10 ล้านบาท และใช้ในโครงการก่อสร้างโรงงานของบริษัท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบโรงงาน คาดแล้วเสร็จได้ภ่ายในปี 60 วางงบลงทุนราว 58 ล้านบาท
นอกจากนี้การขยายลงทุนในอินโดนีเซียแล้ว บริษัทยังมองโอกาสขยายการลงทุนไปยังประเทศเมียนมาด้วย คาดว่าจะสามารถสรุปรูปแบบการลงทุนได้ภายในปีหน้า เพื่อผลักดันสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นภายใน 5 ปี จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศไม่ถึง 5%