นายพิเทพ จันทรเสรีกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส (KCAR) เปิดเผยถึงเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีหน้า บริษัทตั้งเป้ารายได้และกำไรเติบโตในทิศทางมั่นคง โดยตั้งเป้ารายได้ปีหน้าจะเติบโตต่อเนื่องอีก 10% จากปีนี้ที่มีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจรถยนต์เช่า 55% และรายได้มาจากการขายรถมือสอง 45% แต่ในปีหน้าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากรถยนต์มือสอง ซึ่งมีมาร์จิ้นดีเพิ่มเป็น 48% และลดสัดส่วนรายได้จากธุรกิจรถยนต์เช่าลงมาเหลือ 52%
ส่วนในปี 59 บริษัทสามารถรักษาอัตราการเติบโตที่ระดับ 10% คาดว่าจะมียอดรายได้มากกว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งเติบโตมากกว่าภาพรวมของธุรกิจที่ราว 5% ทั้งนี้ จำนวนรถยนต์เช่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,600 คัน จากปี 58 ที่มีจำนวน 6,900 คัน หรือจะมีมูลค่าสินทรัพย์รถยนต์เช่าขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4 พันล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดประมาณ 4 หมื่นล้านบาทนั้นเป็นของผู้ประกอบการรถเช่ารายใหญ่ประมาณ 10 ราย คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) อยู่ที่ 80% และบริษัทฯ ติดอยู่ 1 ใน 5 ของผู้ประกอบการรายใหญ่ดังกล่าว
ขณะที่การเติบโตของรายได้ในปี 60 จะมาจากการขยายฐานลูกค้ารถเช่า ซึ่งบริษัทจะเน้นการเจาะกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีมากขึ้น จากปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งจะลดระยะเวลาของสัญญาการเช่ารถให้เป็น 1-3 ปี จากปกติที่ 3-5 ปี เพื่อช่วยให้ธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น
พร้อมกับวางแผนเพิ่มจำนวนรถยนต์ให้เช่าเป็น 8,000 คัน หรือเพิ่มอีก 400 คัน โดยจะใช้งบลงทุนราว 1-1.5 พันล้านบาท โดยเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสด 30% และเงินกู้ยืมสถาบันการเงินอีก 70% ซึ่งการเพิ่มจำนวนรถยนต์ให้เช่าจะช่วยให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าและรองรับการให้บริการได้มากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าการขายรถยนต์มือสองในปีหน้าเพิ่มอีก 20% จากปีนี้ที่คาดว่าขายได้จำนวน 2,400 คัน โดยเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดรถยนต์มือสองตั้งแต่ปีนี้ ขณะที่แนวโน้มราคารถยนต์มือสองก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน ทำให้บริษัทสามารถระบายสต็อกออกไปได้และมีมาร์จิ้นจากการขายรถยนต์มือสองอยู่ในระดับที่ดี โดยปัจจุบันบริษัทถือเป็นผู้ประกอบการที่มีจำนวนสต็อกรถยนต์มือสองพร้อมขายอยู่ทั้งหมด 850 คัน มากที่สุดในประเทศ
"ปีหน้าบริษัทจะเน้นการขายรถยนต์มือสองเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เพิ่มมาร์จิ้นให้กับบริษัท ส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากการขายรถยนต์มือสองในปี 60 จะเพิ่มมาอยู่ที่ 48% จากปีนี้ที่ 45% และสัดส่วนการให้เช่ารถยนต์จะลดลงเป็น 52% จากปีนี้ที่ 55% นอกจากนี้บริษัทวางแผนขยายศูนย์จำหน่ายรถยนต์มือสอง ร่วมกับโตโยต้าชัวร์ แห่งใหม่อีก 1 แห่งย่านถนนกาญจนาภิเษกในปี 60 โดยใช้งบลงทุน 300-500 ล้านบาท จากปัจจุบันมีศูนย์จำหน่ายรถยนต์มือสอง ทั้งหมด 3 แห่ง"นายพิเทพ กล่าว
นายพิเทพ กล่าวว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์มือสองในปีหน้าคาดว่าจะยังทรงตัวจากปีนี้ ซึ่งจะมีปัจจัยกดดันมาจากการทยอยครบกำหนดของรถยนต์คันแรกที่จะส่งผลให้มีจำนวนรถยนต์มือสองเพิ่มขึ้น และอาจจะกดดันราคาขายรถยนต์มือสอง ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังมีปัจจัยที่สนับสนุนจากภาคสถาบันการเงินที่ปัจจุบันมีข้อเสนอการปล่อยสินเชื่อรถยนต์มือสองที่ดี ทำให้ยังมีลูกค้ากลุ่มที่สนใจซื้อรถยนต์มือสอง ได้รับข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ จากสถาบันการเงินเข้ามากระตุ้นความต้องการซื้อด้วย
ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมธุรกิจรถเช่าในปี 60 คาดว่าจะยังเติบโตได้ 5% จากปีนี้ที่มีมูลค่าตลาดรวมราว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งความต้องการใช้รถเช่าของกลุ่มเอสเอ็มอี เริ่มมีมากขึ้น เพราะสามารถควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย และประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อรถ ค่าบำรุงรักษา และค่าเสื่อมให้กับผู้ประกอบการได้อย่างดี
ขณะที่ในปีนี้ตลาดธุรกิจรถยนต์เช่ามีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง โดยส่วนใหญ่ใช้กลยุทธ์ด้านราคา ผลจากการแข่งขันดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการบางรายประสบปัญหาขาดทุนหรือผลประกอบการด้านกำไรลดลง แต่ในส่วนของบริษัทมีผลประกอบการที่อยู่ในเกณฑ์ที่มั่นคง จากข้อได้เปรียบในด้านการประมาณการที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพในการบริหารและจัดการความเสี่ยงได้ดี โดยในส่วนของธุรกิจรถยนต์เช่ามีลูกค้าหน่วยงานที่เป็นรัฐวิสหกิจ ราชการ 20% และบริษัทขนาดใหญ่ ที่เป็นเอกชน เกือบ 80% มีอายุการเช่าระยะยาวไม่เกิน 5 ปี ที่เหลือประมาณ 2% เป็นลูกค้ารายย่อยที่เช่ารถยนต์เป็นรายวัน