นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ากำไรสุทธิปี 60 จะเติบโตได้ราว 15-20% จากปีนี้
ปัจจุบัน บริษัทมีงานด้านวาณิชธนกิจ (IB) ที่น่าจะดำเนินการได้ในปีหน้า แบ่งเป็น งานที่ปรึกษาการซื้อกิจการและควบรวมกิจการ (M&A) จำนวน 3-4 ดีล , ที่ปรึกษาการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITS) จำนวน 2-3 กอง , งานที่ปรึกษาการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างฟื้นฐาน (Infrastructure Fund) จำนวน 3-4 กอง และงานที่ปรึกษาการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ขนาดระดมทุนรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท และ 1,000 ล้านบาท รวม 5-6 บริษัท
บริษัทยังตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ (มาร์เกตแชร์) ในปี 60 เติบโตมาที่ 9-10% จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 8.5% เนื่องจากการยกระดับกลุ่มเมย์แบงก์ประเทศไทยให้เป็นศูนย์พัฒนานวัตกรรม (Innovation) ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต ขณะที่ตั้งเป้าขยายฐานบัญชีลูกค้า ทั้งลูกค้าบุคคล ,สถาบันต่างประเทศ ,สถาบันในประเทศ ให้เพิ่มขึ้นเป็น 1.9 แสนบัญชี จากปัจจุบันมีลูกค้าทั้งสิ้น 1.7 แสนบัญชี ซึ่งจะมีการเน้นรูปแบบอินเตอร์เน็ตเทรดดิ้งมากขึ้น
นายมนตรี มองว่า มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ไทยปีหน้าจะเติบโต 10% จากปีนี้คาดมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ 50,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น น่าจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อ แม้ว่าหนีครัวเรือนของไทยยังอยู่ในระดับสูงถึง 80% แต่มองว่าภาระผ่อนชำระจะเริ่มผ่อนคลายลงหลังโครงการรถคันแรกสิ้นสุดระยะถือครอง รวมถึงกำลังซื้อในภาคเกษตรกรเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น เห็นได้จากการสำรองน้ำในเขื่อนคาดว่าจะมีปริมาณเพียงพอ หรือช่วยบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้งในปีหน้าได้ และสิ่งสำคัญ คือ การที่คนไทยได้ผ่านช่วงเวลาอันโศกเศร้า และมีการเปลี่ยนผ่านไปในทางที่ดีขึ้นในรัชกาลใหม่
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังต้องจับตาดูสถานการณ์ภายนอกประเทศอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีหน้า ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น หรืออาจจะเคลื่อนไหวในระดับที่มากกว่า 60 เหรียญหสรัฐ/บาร์เรล จากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปคและนอกโอเปค รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของอิตาลีและฝรั่งเศส อีกทั้งกระบวนการ Brexit
ทั้งนี้ MBKET ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 60 ที่ระดับ 1,650 จุด ซึ่งหากภาพรวมธุรกิจหลักทรัพย์มีทิศทางที่ดีขึ้น ก็น่าจะส่งผลทำให้บริษัทฯมีผลการดำเนินที่ดีขึ้นด้วย
นายมนตรี กล่าวว่า บริษัทยอมรับว่ารายได้และกำไรสุทธิในปีนี้น่าจะต่ำกว่าปีก่อน โดย 9 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้อยุ่ที่ 2,722.49 ล้านบาท กำไรสุทธิ 726.52 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้ 4,175.63 ล้านบาท และกำไร 1,019.23 ล้านบาท เป็นผลมาจากเศรษฐกิจชะลอตัว โดยรายได้ค่าธรรมเนียมปรับตัวลดลง และงาน IB ก็น่าจะทำรายได้เพียง 50 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าทำได้ราว 100 ล้านบาท