KTBST คาดหุ้นไทยท้ายปีซื้อขายเบาบางแต่ผันผวนสูงปัจจัยบวกลดลง มองกรอบ 1,500-1,550 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 19, 2016 09:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) เปิดเผยว่า ช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปี 2559 ปัจจัยเด่นที่ชี้ทิศทางตลาดไม่ค่อยมีทำให้ปริมาณซื้อขายจะเริ่มเบาบางลง แรงซื้อหลักๆ น่าจะเป็นกองทุน LTF-RMF และนักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรแบบรายวัน ซึ่งจะทำให้ดัชนีฯ มีความผันผวนในระหว่างวันค่อนข้างสูง ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีฯสัปดาห์นี้ (19-23 ธ.ค.) จะผันผวนในกรอบ 1,500-1,550 จุด

ตัวแปรที่มีผลต่อตลาดจะเป็นผลตอบรับต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) แต่จะเริ่มน้อยลงตามลำดับ สังเกตได้จากค่าเงินดอลล่าร์และ Bond Yield เริ่มทรงตัว แต่ตลาดอาจขาดแรงซื้อ เพราะปัจจัยที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจากการลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตน้ำมันที่ตอบรับกันมาระดับหนึ่ง และการปรับครม.ที่คาดว่าจะไม่มีผลต่อตลาด แต่ตลาดจะไปให้ความสนใจต่อ นโยบายการค้าต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่มากขึ้น เพราะใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ เนื่องจากจะมีผลต่อหุ้นกลุ่มส่งออก (ถ้าเงินบาทเปลี่ยนแปลงมาก) นอกจากนี้ แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศ คาดว่าจะกดดันต่อดัชนีฯอยู่ต่อไป

ขณะที่ในสัปดาห์ถัดไป (26-30 ธ.ค.) มองว่าการหยุดของตลาดหุ้นต่างประเทศ และตลาดจะไม่มีตัวแปรสำคัญๆ เพราะผ่านไปเกือบหมดแล้ว การซื้อขายจะเป็นการเข้ามาเก็งกำไรช่วงสั้นๆ แบบรายวัน (day trade) มากกว่า ตัวแปรสำคัญๆ ช่วง 26 - 30 ธ.ค. ประกอบด้วย ตัวเลขส่งออกของไทย (26 ธ.ค.)

สำหรับกลยุทธ์ลงทุน ในภาพรวมๆของตลาดจะยังเป็น sideway นักลงทุนส่วนใหญ่จะเล่นด้วยความระมัดระวัง เพราะกลัวแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยและแรงซื้อของกองทุนฯ ที่คาดว่ายังเป็นตัวพยุงตลาดทำให้การลงทุนหากเป็นการเลือกลงทุนเป็นรายตัว (selective buy) น่าจะยังทำกำไรให้กับพอร์ตได้อยู่

ดังนั้น การลงทุนโค้งสุดท้ายของปีแบบนี้ น่าจะลงทุนผสมทั้งหุ้นปันผลสูง, หุ้นกำไรปีหน้าโต , หุ้นรับผลบวกมาตรการเศรษฐกิจและหุ้นเก็งกำไรช่วงสั้นๆ ที่จะเก็งตามข่าวรายวัน รวมทั้งหุ้นที่ถูกนำเข้าคำนวณ SET50 , SET100 ที่จะคึกคักขึ้นด้วย มองกรอบดัชนีในสัปดาห์นี้ (19-23) จะผันผวนในกรอบ 1,500-1,550 จุด

หุ้นที่คาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนได้แก่ หุ้นรับผลบวกการลงทุน-ใช้จ่าย ภาครัฐ (Domestic Play) ASEFA,CPALL,TVD,KTC หุ้นมี Dividend Yield สูง KGI หุ้นเข้าคำนวณ SET50,SET100 SPRC,KAMART,THANI และหุ้นที่มีประเด็นบวกอื่นๆ หรือราคาลงมามาก GFPT,SAPPE,KBS,EASON,BA

ทั้งนี้ มองว่าตัวแปรที่จะมีผลต่อตลาดมากที่สุด ได้แก่

1.การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังน่าจะส่งผลมาถึงตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆและจะทำให้ตลาดมีความผันผวนไปจนกว่าจะมีการประชุมครั้งต่อไปการคาดการณ์จำนวนครั้งที่ Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยปี 2560 เพิ่มจาก 2 เป็น 3 ครั้ง หรือจะปรับขึ้นไปเป็น 1.5% จาก 0.5-0.75% แม้ตลาดจะคาดการณ์ในเรื่องเหล่านี้ไว้แล้ว แต่ตัวแปรสำคัญ คือ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจขยายตัวมากกว่าปกติจากนโยบายของนายทรัมป์ มีผลต่อการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตด้วย การปรับพอร์ตของนักลงทุน หรือแม้กระทั่งพอร์ตลงทุนทองคำ-พันธบัตร ของธนาคารกลางประเทศต่างๆ จึงน่าจะยังเห็นได้ในสัปดาห์นี้

2.ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีกิจกรรมกับประเทศในแถบเอเซียมากขึ้นทั้งไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น จึงเป็นที่น่าจับตาดูว่า นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯที่เกี่ยวกับด้านการค้าจะถูกตีความอย่างไร จะเป็นบวกหรือเป็นลบต่อหุ้นหรือธุรกิจส่งออก-นำเข้า ซึ่งจะมีผลมาถึงตลาดหุ้นด้วย ขณะเดียวกันการที่จีนยึด Drone ของกองทัพเรือสหรัฐฯไว้ เป็นบททดสอบนโยบายทางการทหารอันแรกของประธานาธิบดีท่านนี้ ตลาดอาจมีความกังวล ถ้าสหรัฐฯใช้ความพยายามที่จะกดดันจีนในเรื่องนี้ เพราะการตอบโต้ของจีน อาจไม่ได้มีผลต่อสหรัฐฯเพียงประเทศเดียว

3.ความกังวลเรื่อง Over Supply ของน้ำมันน่าจะลดลงการตอบรับต่อการปรับลดการผลิตน้ำมัน ของ Non-OPEC ค่อนข้างดี และคาดว่า ภาวะ oversupply จะหมดไปภายในปีหน้า แต่การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ WTI ทาง KTBST คาดว่า 3 เดือนข้างหน้า จะจำกัดอยู่ในกรอบ $50-55 เหรียญ ขณะที่กรอบ 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ $50-60 เหรียญ/บาร์เรล ทั้งนี้การสูงขึ้นของราคาน้ำมันจากการผลของการลดกำลังการผลิตน้ำมัน มีมาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อมีการตกลงกันจึงขึ้นต่อได้ไม่มาก อีกทั้งการแข็งค่าของเงินดอลล่าร์และตลาดจะยังกังวลต่อไปว่าการผลิตน้ำมันที่มาจาก Shale Oil จะเริ่มเข้ามาในตลาดมากขึ้นหากราคาน้ำมันดิบเกิน $55 เหรียญ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำมันจาก Shale Oil 4.5 ล้านบาร์เรล/วัน หรือ 5% ของความต้องการใช้น้ำมันดิบของโลก เป็นตัวจำกัดกรอบการสูงขึ้นของราคาน้ำมัน ดังนั้นจึงคาดว่าหุ้นกลุ่มน้ำมันในสัปดาห์นี้ จะทรงๆตัวจากราคาน้ำมันดิบที่ขยับสูงขึ้น (>$50) โดยกลุ่มที่เป็นบวกโดยตรงจะเป็นผู้ผลิตน้ำมัน อย่าง PTTEP ในขณะที่หุ้นกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันหรือปิโตรเคมี จะได้เพียง stock gain ทำให้ราคาหุ้นตอบสนองต่อราคาน้ำมันที่สูงขึ้นน้อยกว่าหุ้นผู้ผลิตน้ำมัน

4.การปรับ ครม.เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ปรับตำแหน่ง 7 ท่าน และเข้าใหม่ 4+1 ท่าน คาดจะมีผลต่อตลาดไม่มาก เพราะ 2 ตำแหน่ง มาจากทดแทน รัฐมนตรี 2 ท่านที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์มนตรี เราจึงอยากเรียกว่าปรับเพื่อความเหมาะสมมากกว่า ผลบวกลบต่อตลาดจึงไม่น่าจะมี แต่ที่น่าสนใจจะเป็นการทำงานของรัฐบาลที่จะยังคงมีความเข้มข้นอยู่เช่นเดิม จากการคาดหวังว่าจะมีมาตรการด้านเศรษฐกิจใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง เป็นปกติของการเข้ารับตำแหน่งใหม่ที่มักจะต้องมีการสร้างผลงาน หากเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นทางที่เป็นบวกมากกว่า

5.หุ้นที่คำนวณ SET50 , SET100 หุ้นบางตัวที่ SET ประกาศไป ยังไม่ได้ตอบรับหรือมีการเก็งในข่าวนี้ การประกาศรายชื่อของ SET จึงน่าจะทำให้หุ้นบางตัว หรือส่วนใหญ่ มีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ ขณะเดียวกัน หุ้นที่ถูกถอดออกจากการคำนวณดัชนีฯ ก็อาจถูกขายออกมาเช่นกัน

ปัจจัยสุดท้ายคือ 6.แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร ทะลุระดับเมื่อ Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อเดือน ธ.ค.58 ไปแล้ว ตามที่เคยบอกว่า หากเป็นเช่นนั้นจะแสดงให้เห็นว่าตลาดคาดว่าดอกเบี้ยจะปรับตัวมากกว่าที่เคยคาดไว้ ทำให้แรงขายหุ้นของนักลงทุนเกิดขึ้นอีกระลอกหนึ่ง เราประเมินแรงขายหุ้นของนักลงทุนกลุ่มนี้ น่าจะยังเป็นแรงกดดันต่อตลาดในสัปดาห์นี้อยู่ต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ