นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LHFund) ตั้งเป้าหมายทรัพย์สินภายใต้การบริหาร (AUM) ปี 60 จะเติบโตราว 20-30% จากปีนี้ที่คาดมีมูลค่าใกล้เคียง 68,470 ล้านบาท
บริษัทแผนออกกองทุนใหม่ราว 8 กองทุน แบ่งเป็นกองทุนหุ้นในประเทศ 4 กองทุน ซึ่งจะเน้นไปที่การควบคุมผลตอบแทนให้มีความผันผวนน้อย และกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ 4 กองทุน โดยเน้นไปที่หุ้นในสหรัฐฯ และตลาดในภูมิภาคที่มีการเติบโตสูง เช่น เวียดนาม อย่างไรก็ตาม ขนาดของกองจะมีทั้งหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่อย่างละครึ่ง จากราคาปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก เช่น กลุ่มถ่านหิน, oil&Gas เป็นต้น
"เรายังเชื่อว่าหุ้นกับ REIT ยังไปได้ โดยเฉพาะหุ้นใน developed country และประเทศที่เรามีพาทเนอร์อย่างสหรัฐฯ ขณะที่ก็มองไปถึง Asean countries เช่น เวียดนาม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บลจ.ในปีหน้าจะมุ่งเน้นไปที่ กองทุนรวม FIF (Foreign Investment Fund) มากขึ้น เน้นตลาดที่ใกล้ตัวเรา หรือแม้กระทั้งตลาดที่เราสามารถรู้ข้อมูลได้ ซึ่งมีความหมายกับเรามากกว่า"นายมนรัฐ กล่าว
ทั้งนี้ LHFund ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 60 จะอยู่ที่ระดับ 1,640 จุด บน P/E 15.5 เท่า และบนสมมติฐานกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดในปีหน้าจะเติบโตราว 11-15% จากมีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจะเป็นตัวขับเคลื่อน ส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีงานในมือ (Backlog) สูงขึ้น รวมถึงหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มมีการลงทุนโครงการใหม่ๆ มากขึ้น หลังจากเห็ความชัดเจนการลงทุนภาครัฐ ขณะที่ปีนี้คาดดัชนีฯไม่น่าจะปรับตัวสูงเกิน 1,600 จุดได้ เนื่องจากระดับราคาหุ้นที่อยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ มองตลาดหุ้นไทยในปีหน้าจะยังได้รับแรงกดดันจากกระแสเงินทุนที่ไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ไปสู่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และสินค้าโภคภัณฑ์มากขึ้น จากการส่งสัญญาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 3 ครั้งภายในปี 60 และค่าเงินของตลาดเกิดใหม่ที่อ่อนลงยังเป็นปัจจัยกระตุ้นให้นักลงทุนย้ายเงินออกเร็วขึ้นด้วย ขณะที่ค่าเงินบาทในปี 60 ประเมินอยู่ที่ราว 36-36.5 บาท/ดอลลาร์
พร้อมกันนี้ ยังต้องติดตามนโยบายที่เคยนำเสนอในช่วงหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 20 ม.ค.60 ว่าจะสามารถนำมาดำเนินการได้หรือไม่ ซึ่งหากนโยบายไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามที่คาดอาจจะทำให้เฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า
สำหรับหุ้นที่ได้รับประโยชน์ในปีหน้ายังมองว่าเป็นหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จากการเร่งลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ และหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีความน่าสนใจ จากราคาปรับตัวลดลงไปอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับ หุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ยางพารา น้ำมันดิบ น้ำตาล ที่ราคาเริ่มกลับมาฟื้นตัว และกลุ่มเครื่องดื่ม-อาหารที่ได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นบริโภคของรัฐ
ด้านเศรษฐกิจไทยในปี 60 คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะอยู่ที่ระดับ 3.3% จากการเร่งลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐเป็นหลัก ในขณะที่การท่องเที่ยวซึ่งเคยเป็นตัวขับเคลื่อนหลักยังต้องจับตาดู เนื่องจากการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ ส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างชัดเจน และคาดว่าการส่งออกในปีหน้าจะยังไม่ฟื้นตัวแม้จะได้รับอานิสงส์จากค่าเงินที่อ่อนลง แต่เป็นการอ่อนค่าทั้งภูมิภาคทำให้ไทยที่ไม่มีจุดแข็งด้านการส่งออกไม่ได้รับประโยชน์มากนัก