นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 60 เติบโต 5% จากปีนี้ที่คาดว่ารายได้จะอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท จากการทยอยรับรู้รายได้ของมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในส่วนของบริษัทราว ซึ่งไม่รวม Backlog จากบริษัทร่วมทุนกับบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) จำนวน 7-8 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีอยู่ 1.7 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน โดย Backlog ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ไปถึงปี 62 ส่วน Backlog ของบริษัทร่วมทุนกับ BTS ปัจจุบันอยู่ที่ 2.07 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในปี 60 เติบโต 30-40% จากปีนี้ที่คาดว่าทำยอดขายได้อยู่ที่ 3.3 หมื่นล้านบาท โดยแผนการเปิดโครงการใหม่ในปี 60 บริษัทจะประกาศอีกครั้งในงานแถลงแผนวันที่ 10 ม.ค. 60 ซึ่งเบื้องต้นมี 1 โครงการที่ได้เลื่อนเปิดโครงการจากปีนี้ไปเป็นปี 60 คือ โครงการคอนโดมิเนียม 98 Wireless มูลค่าโครงการกว่า 8 พันล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าหมายยอดขายของลูกค้าชาวต่างชาติในปี 60 อยู่ที่ 8 พันล้านบาท จากปัจจุบันมียอดขายของลูกค้าชาวต่างชาติอยู่ที่ 5.3 พันล้านบาท โดยบริษัทได้เห็นถึงโอกาสความต้องการซื้อของลูกค้าชาวต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าชาวฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และมีความสนใจลงทุนในโครงการที่ติดกับรถไฟฟ้า เนื่องจากมีความสะดวกในการเดินทางเข้าที่พักอาศัย และราคาอสังหาริมทรัพย์ไนประเทศไทยถือว่าถูกเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยบริษัทคาดว่าจะเห็นความร่วมมือด้านการตลาดเพื่อการขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์มากขึ้นในช่วงไตรมาส 1/60
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศในปีหน้า คาดว่าจะเติบโตได้ราว 4-5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ได้หวือหวามากนัก เพราะตลาดยังขาดปัจจัยที่โดดเด่นมาช่วยสนับสนุน และยังต้องระมัดระวังเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถในการกู้ยืมของลูกค้า
ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SIRI เปิดเผยว่า ในปี 60 บริษัทเตรียมการเปิดโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้บริษัทร่วมทุนระหว่าง BTS-SIRI อีก 5 โครงการ ซึ่งบริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาทั้งหมดแล้ว และเป็นโครงการที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้า โดยปัจจุบันมีโครงการที่เปิดไปแล้วทั้งหมด 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการเดอะไลน์ จตุจักร-หมอชิต มูลค่าโครงการ 6 พันล้านบาท โครงการเดอะไลน์ สุขุมวิท 71 มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท โครงการเดอะไลน์ ราชเทวี มูลค่าโครงการ 2.9 พันล้านบาท
โครงการเดอะไลน์ อโศก-รัชดา มูลค่าโครงการ 2.9 พันล้านบาท โครงการเดอะไลน์ สุขุมวิท 101 มูลค่าโครงการ 4.2 พันล้านบาท โครงการเดอะไลน์ พหลฯ-ประดิทพัทธ์ มูลค่าโครงการ 5.8 พันล้านบาท โครงการเดอะเบส การ์เด้น พระราม 9 มูลค่าโครงการ 2.28 พันล้านบาท และโครงการคุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค มูลค่าโครงการ 4 พันล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทคาดว่าภายในอีก 18 เดือน จะเห็นความชัดเจนของแผนการพัฒนาโครงการแนวราบของบริษัทร่วมทุนดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและมองหาซื้อที่ดิน โดยมองว่าการพัฒนาโครงการแนวราบอาจจะต้องพัฒนาในทำเลรอบนอกกรุงเทพฯ และเป็นทำเลที่มีรถไฟฟ้าเข้าถึง เพราะกลุ่มลูกค้าที่สนใจซื้อโครงการแนวราบส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ต้องการพักอาศัยออกมาในทำเลรอบ ๆกรุงเทพฯ อีกทั้งการที่ BTS ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัทได้สิทธิในการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 2 สาย คือ สายสีชมพู และสายสีเหลือง ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสทำให้บริษัทร่วมทุนจะขยายการพัฒนาโครงการแนวราบในอนาคต โดยทำเลจะคงอยู่ตามแนวรถไฟฟ้าของบีทีเอสเช่นเดิม จากปัจจุบันบริษัทร่วมทุนมีการพัฒนาโครงการในรูปแบบคอนโดมิเนียมเพียงรูปแบบเดียว