บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) ตั้งเป้าหมายในปี 60 จะมียอดรับรู้รายได้ราว 1.2 หมื่นล้านบาทและยอดขาย 1.8 หมื่นล้านบาท จากปีนี้คาดว่าจะทำรายได้ตามเป้า 1 หมื่นล้านบาท และยอดขาย 1.4 หมื่นล้านบาท โดยในปีหน้าบริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการแนวราบ 21 โครงการทั้ในกรุงเทพและต่างจังหวัด มูลค่าโครงการรวมกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท
นายแสนผิน สุขี กรรมการผู้จัดการใหญ่ GOLD เปิดเผยว่า ในปี 60 บริษัทจะมีการทยอยโอนมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) งหมดที่อยู่ 3 พันล้านบาท และมีแผนการเปิดโครงการใหม่ 21 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์โฮม 17 โครงการ บ้านแฝด 3 โครงการ และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
การเปิดตัวโครงการในแต่ละไตรมาสของปี 60 จะแบ่งออกเป็น ไตรมาส 1/60 เปิด 3 โครงการทาวน์โฮมในทำเลวงศ์สว่าง-รัชดา ลาดกระบัง และบางนา-สวนหลวง ส่วนไตรมาส 2/60 และไตรมาส 3/60 จะเปิด 5 โครงการใหม่/ไตรมาส โดยในไตรมาส 3 จะเปิดตัวโครงการทาวน์โฮมในศรีราชา ถนนเก้ากิโล จำนวน 400 ยูนิต ราคาขาย 1.59-2.3 ล้านบาท/ยูนิต ซึ่งเป็นโครงการเดียวที่เปิดในต่างจังหวัดในปีหน้า ส่วนไตรมาส 4/60 จะเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 8 โครงการ
ขณะที่ราคาขายโครงการของบริษัทนั้น ทาวน์โฮม 2 ชั้น ยังคงอยู่ในช่วง 1.99-3.5 ล้านบาท/ยูนิต, ทาวน์โฮม 3 ชั้น อยู่ในช่วง 3.5-5 ล้านบาท/ยูนิต, บ้านแฝด 4-4.5 ล้านบาท/ยูนิต และ บ้านเดี่ยว 5-8 ล้านบาท/ยูนิต โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวนั้น บริษัทจะพยายามคงราคาขายไว้เท่าเดิม แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้นไนปีหน้า ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เพราะต้นทุนวัสดุก่อสร้างยังทรงตัว
นายแสนผิน กล่าวว่า บริษัทมองภาพตลาดอสังหาริมาทรัพย์รวม และตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบในปี 60 ยังมีแนวโน้มที่เติบโตได้จากปีนี้ โดยความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่ลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง อีกทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเติบได้อยู่ในระดับ 3% รับผลดีการลงทุนของภาครัฐที่เข้ามาช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ และทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น ประกอบกับ ภาคการท่องเที่ยวยังเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจ
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะหนี้สินครัวเรือนที่ยังอยู่ไนระดับสูงในอัตรา 80% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งมีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อของธนาคาร และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่มีโอกาสปรับตัวขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อภาระดอกเบี้ยจ่ายของประชาชนที่มีหนี้สินเพิ่มขึ้นตาม ซึ่งบริษัทยังเชื่อว่าอัตราการปฏิเสธสินเชื่อลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทในปี 60 จะยังคงอยู่ที่ระดับ 35-40% ทรงตัวจากปีนี้ เพราะธนาคารยังคงมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
"การเติบโตอย่างต่อเนื่องได้นั้น บริษัทจะต้องหาแนวคิดใหม่ๆเข้ามาเสริมมาเติมให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการที่เรามาถึงจุดๆ นี้ได้มาจากแนวคิดยิ่งพิเศษ ชีวิตยิ่งมีความสุขกับบ้านที่ทำเลดี ราคาโดนใจ และฟังก์ชั่นที่เหนือกว่า จึงได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า โดยเฉพาะโครงการทาวน์โฮมของโกลเด้นแลนด์ ที่มีฟังก์ชั่นพิเศษทำให้ถูกใจผู้บริโภค จนเรียกได้ว่าหากเลือกซื้อโครงการทาวน์โฮมแล้วต้องแวะมาเปรียบเทียบกับของโกลเด้นแลนด์ก่อนตัดสินใจ"นายแสนผิน กล่าว
สำหรับการซื้อที่ดินในปี 60 บริษัทตั้งงบไว้ที่ 7.8 พันล้านบาท จากปีนี้ที่ใช้ไป 5 พันล้านบาท โดยจะเน้นการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในปีถัดไป ซึ่งบริษัทยังเน้นการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมอย่าต่อเนื่อง และเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการบ้านแฝดเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการบ้านหลังใหญ่และต้องการอยู่อาศัยในเมือง
อีกทั้งบริษัทจะยังคงเน้นการสร้างนวัตกรรมในการก่อสร้างเพื่อทำให้ระยะเวลาการก่อสร้างโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์สามารถส่งมอบได้รวดเร็วมากขึ้น เพื่อให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังเน้นขายโครงการก่อนการสร้างเสร็จ
นายแสนผิน กล่าวว่า บริษัทจะเน้นไปที่ระยะเวลาการก่อสร้างโครงการทาวน์เฮาส์ให้รวดเร็วยิ่งขึ้นเป็น 2 เดือน จากปัจจุบันอยู่ที่ 3 เดือน ขณะที่โครงการบ้านเดี่ยวมีระยะเวลาการก่อสร้าง 4 เดือน ซึ่งการก่อสร้างที่รวดเร็วจะทำให้บริษัทรับรู้รายได้เข้ามาเร็ว และทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะมีรายได้เป็นไปตามแผน 5 ปี (ปี 59-63) ที่ตั้งไว้ว่าในปี 63 จะมีรายได้อยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท และเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ฯในตลาดหลักทรัพย์ติด 1 ใน 5 ในแง่รายได้ จากปัจจุบันอยู่ที่ลำดับที่ 8 หรือ 9 ขณะที่แนวโน้มของผลการดำเนินงานยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่ทุกปี