นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/59 คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับอานิสงส์จากต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลงจากการเพิ่มกำลังการผลิต ต้นทุนวัตถุดิบ และต้นทุนทางการเงินที่ปรับตัวลดลง อีกทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของเงินบาท รวมไปถึงออเดอร์ OEM ของกลุ่มลูกค้ายุโรป ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 100% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้มั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ตามเป้าหมายที่วางไว้ และกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์
"ตอนนี้มีออเดอร์ใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้งานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มจาก 500 ล้านบาท เป็น 800 ล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปี 60"นายสมพล กล่าว
ส่วนความคืบหน้าในการสร้างโรงงานร่วมกับพันธมิตรในอินเดีย ล่าสุดในวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมาเริ่มลงเสาเข็มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสร้างเสร็จภายในเดือน มิ.ย.60 ตามแผน และมั่นใจว่าหลังจากโรงงานเริ่มผลิตจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สอดคล้องแผน 5 ปี ข้างหน้าที่มีแผนขยายสาขาใน 5 ประเทศทั่วโลก โดยสนใจประเทศตุรกี อินเดีย อเมริกา ฮังการี และเม็กซิโก เพื่อเพิ่มที่มาของฐานรายได้และกระจายความเสี่ยงการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต"นายสมพลกล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงกลางปีที่ผ่านมาบริษัทฯได้มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่ม เพื่อรองรับออเดอร์ของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเพิ่มเครื่องฉีด 650 ตัน 1 เครื่อง ซึ่งได้มีการเพิ่มยอดกำลังผลิตสินค้ากลุ่มหน้ากระจังอีก 4.62% ส่วนในต้นเดือน ส.ค.ได้เพิ่มเครื่องฉีดอีก 2 เครื่อง ขนาด 1,000 ตัน และ 1,300 ตัน และได้เพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มหน้ากระจังอีก 8.82% และกลุ่มกันชนอีก 12.5%
นอกจากนี้ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมายังได้ขยายกำลังการผลิตของแผนกสีเป็นไลน์อัตโนมัติ ซึ่งแล้วเสร็จในช่วงปลายพฤศจิกายน ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 35% เพื่อรองรับงาน OEM กลุ่มลูกค้ายุโรปที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากที่ก่อนหน้ามีการใช้กำลังการผลิต 72.60% ซึ่งจะทำให้ต้นทุนขายต่อหน่วยปรับตัวลดลง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 59 บริษัทฯมีรายได้รวม 1,453.32 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 195.46 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานโดยรวมทั้งปี 58 มีรายได้รวม 1,861.63 ล้านบาท กำไรสุทธิ 192.38 ล้านบาท