นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เปิดเผยว่า การเปิดโครงการใหม่ของบริษัทในปี 60 คาดว่าจะมีจำนวนโครงการใหม่และมูลค่าโครงการมากกว่าปีนี้ที่มีจำนวนโครงการเปิดใหม่ทั้งหมด 23 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.5 หมื่นล้านบาท โดยปีหน้าคาดว่าการเปิดโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน ซึ่งแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนอยู่ระหว่างการรอการพิจารณาจากคณะกรรมการบริษัท โดยจะประกาศแผนดังกล่าวในช่วงต้นเดือนม.ค.60
เบื้องต้นในช่วงวันที่ 18-23 ม.ค. 60 บริษัทจะเปิดขายโครงการศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39 มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท ที่ได้เลื่อนการเปิดมาจากปีนี้ โดยเป็นอาคารชุดพักอาศัย 4 อาคาร ความสูง 25 ชั้น 2 อาคาร และสูง 35 ชั้น 2 อาคาร จำนวนยูนิตรวม 1,000 ยูนิต ราคาขาย 4.5-53 ล้านบาท ขนาดห้อง 39-355 ตารางเมตร โดยคิดเป็นราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 100,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เปิดลงทะเบียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ และมีผู้สนใจมาลงทะเบียนแล้ว 1,000 คน คาดว่าโครงการดังกล่าวจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
สำหรับมูลค่าการโอนโครงการในปีหน้า เบื้องต้นมียอดขายรอโอน (Backlog) ที่จะรับรู้เป็นรายได้ในปีหน้าที่ระดับ 1.1 หมื่นล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ 3.5 หมื่นล้านบาท แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากอัตราการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยเฉพาะการโอนโครงการคอนโดมิเนียมในปี 60 ที่แนวโน้มอัตราการปฏิเสธสินเชื่อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% หลังจากธนาคารพาณิชย์ยังคงมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อค่อนข้างมาก อีกทั้งปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงยังส่งผลให้ความสามารถในการกู้ลดลง และมีผลต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ แม้ว่าแนวโน้มของภาวะเศรษฐกิจจะค่อย ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม โดยปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่เกือบ 10% จากช่วงต้นปีนี้ที่ 6% นายไตรเตชะ กล่าวว่า ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 60 คาดว่าจะทรงตัวหรือเป็นบวกได้เล็กน้อย เพราะเป็นการปรับสมดุลของตลาดจากปี 59 ที่หดตัวลง โดยปัจจัยหลักที่จะทำให้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาฟื้นตัวได้ในปีหน้า มาจากการที่ตลาดคอนโดมิเนียมจะกลับมาเป็นบวกในรอบ 3 ปี หลังจากที่ติดลบติดต่อกัน ซึ่งปี 59 ตลาดคอนโดมิเนียมหดตัว 5-10% ทำให้การฟื้นตัวในปีหน้าเป็นไปได้ไม่ยากนัก อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจที่จะดีขึ้นกว่าปีนี้ และการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ที่มีความชัดเจนมากขึ้น ช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าของประชาชน โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม ขณะที่ตลาดแนวราบยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการอยู่อาศัยจริง
อย่างไรก็ตามในด้านของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทยจะต้องมีการบริหารสภาพคล่องให้มีประสิทธิภาพ ในภาวะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังชะลอตัวอยู่ ซึ่งสภาพคล่องเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินธุรกิจสามารถไปต่อได้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายเล็ก อีกทั้งธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ยังเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อทั้งผู้ประกอบการและลูกค้า ส่งผลต่อการลงทุน การบริหารจัดการ และการโอนโครงการที่จะเข้ามาเป็นรายได้ให้กับผู้ประกอบการ ส่วนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เป็นกลุ่มที่ไม่มีความกังวลเรื่องสภาพคล่องมากนัก เพราะมีจำนวนโครงการที่สามารถรับรู้รายได้เข้ามาชดเชยโครงการอื่น ๆ ที่มีการโอนน้อย ซึ่งต่างจากผู้ประกอบการรายเล็กที่มีจำนวนโครงการน้อย เมื่อมีปัญหาเพียง 1 โครงการ จะส่งผลกระทบต่อบริษัททันที ทั้งนี้มองว่าในปี 60 คาดว่าจะมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายเล็กเลิกกิจการเป็นจำนวนมาก หลังจากมีภาวะขาดสภาพคล่องสูงในปัจจุบัน สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้บริษัทมั่นใจยอดโอนจะทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2.2 หมื่นล้านบาท หลังจากปัจจุบันทำได้เกินเป้าหมายไปแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการโอนโครงการแนวราบที่เพิ่มขึ้น และการที่มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ไนช่วงต้นปีที่ผ่านมาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การโอนโครงการแนวราบในปีนี้เติบโต ส่วนยอดขายในปีนี้ยังมั่นใจทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2.45 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะเลื่อนเปิด 4 โครงการใหม่ มูลค่า 1.15 หมื่นล้านบาทไปเป็นปีหน้าก็ตาม เป็นโครงการแนวราบ 3 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ
โดยยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้มั่นใจว่าทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.25 หมื่นล้านบาท หลังจากปัจจุบันยอดขายโครงการแนวราบทำได้แล้วราว 1.35 หมื่นล้านบาท ซึ่งเข้ามาช่วยชดเชยยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมในปีนี้ที่มีแนวโน้มทำได้น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.2 หมื่นล้านบาท เพราะบริษัทได้เลื่อนการเปิดโครงการศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39 มูลค่าโครงการ 1 หมื่นล้านบาท ออกไปเป็นปี 60 ทำให้มีผลกระทบต่อยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมไนปีนี้ค่อนข้างมาก
ขณะที่งบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทได้ใช้ไป 6 พันล้านบาท น้อยกว่าที่ตั้งไว้ 8 พันล้านบาท เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ซื้อที่ดินไม่ตามเป้าหมาย เช่น ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องประเมินความคุ้มค่าอย่างรอบคอบ และภาษีที่ดินที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 60 ส่วนการเจรจาขายอาคารสำนักงานในฟิลิปปินส์ของบริษัท ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งมีโอกาสที่จะได้ข้อสรุปในปีหน้า แต่หากยังไม่ได้ข้อสรุปการขายที่ดินแน่ชัดก็ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เพราะบริษัทยังได้รับรายได้ค่าเช่าจากอาคารสำนักงานไนฟิลิปปินส์เข้ามาอยู่ โดยอาคารสำนักงานในฟิลิปปินส์มีอัตราการเช่าเต็ม 100%