หุ้น AU ปิดเทรดวันแรกที่ 13.50 บาท เพิ่มขึ้น 9.00 บาท (+200%) จากราคาเสนอขาย IPO ที่ 4.50 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 3,431.70 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 11.50 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 13.50 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 11.50 บาท
นอกจากนี้ พบรายการบิ๊กล็อตหุ้น AU 19 รายการ จำนวน 52.50 ล้านหุ้น มูลค่าซื้อขาย 236.25 ล้านบาท เทรดในราคาเฉลี่ย 4.50 บาท/หุ้น และยังมีบิ๊กล็อต AU-F 1 รายการ จำนวน 1.5 ล้านหุ้น มูลค่าซื้อขาย 6.75 ล้านบาท เทรดในราคาเฉลี่ย 4.50 บาท/หุ้น
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินว่า เนื่องด้วย บมจ. อาฟเตอร์ยู (AU) มีการเติบโตจากการขยายสาขาที่สูงทำให้ราคา IPO ที่ 4.50 บาท มี PER ปี 2558 ที่ 56.7 เท่า เป็นราคาที่ไม่แพง เมื่อเทียบการเติบโต หากใช้ PEG ที่ 1-1.2 เท่า และอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 35% เนื่องจากการขยายสาขาที่สูงถึงปีละ 5-6 สาขา เพื่อให้ได้เป้าที่ 30 สาขา ภายในปี 2561 (ปัจจุบันมีอยู่ 18 สาขา) จะได้มูลค่าที่เหมาะสมของ AU ที่ 6-7.15 บาท
แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโตในอนาคตยังมีความเสี่ยงจากกำลังซื้อของผู้บริโภคของสาขาใหม่อาจไม่มากเท่ากับสาขาในเมืองทำให้การเติบโตของสาขาใหม่อาจต่ำกว่าที่คาด
บริษัทฯ ประกอบธุรกิจจำหน่ายขนมหวาน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ร้านขนมหวาน และบริการจัดงานนอกสถานที่และการรับจ้างผลิต ธุรกิจร้านขนมหวานคิดเป็นรายได้กว่า 99% จากร้านขนมหวาน อาฟเตอร์ ยู (18 สาขา โดยเมนูที่ได้รับความนิยมสูงคือ ฮันนี่โทส ช็อคโกแลตลาวา) และร้านน้ำแข็งไส เมโกริ (2 สาขา) เน้นลูกค้าในกลุ่มผู้ที่มีรายได้ปานกลาง-สูง มีส่วนแบ่งการตลาด 3.4% ในปี 2557 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานครัวกลางขนาดพื้นที่ใช้สอย 5 พันตารางเมตรที่ จ.สมุทรสาคร รองรับการผลิตได้สูงสุด 40-45 สาขา
โครงการอนาคต :
1) ขยายร้านขนมหวานไปยังหัวเมืองหลักของประเทศ โดยจะเน้นตามจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูง และเน้นขยายสาขาปีละเฉลี่ย 5 สาขา ตั้งเป้า 30 สาขาภายในปี 2561
2) ขยายช่องทางการจำหน่ายและผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศอื่นในภูมิภาค โดยการหาพันธมิตรทางธุรกิจและบริการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แก่สายการบิน
3) โครงการก่อสร้างสำนักงานและศูนย์กระจายสินค้า โดยใช้งบประมาณราว 60-70 ล้านบาทระยะเวลาในการก่อสร้าง 12 เดือน
4) โครงการลดต้นทุนการผลิต และพัฒนาระบบสารสนเทศ พร้อมทั้งขยายสายการผลิตของโรงงานที่สมุทรสาคร