(เพิ่มเติม) CPF คาดรายได้ปี 60 โตไม่น้อยกว่า 10% จากปีนี้โตทะลุเป้า,เล็งซื้อกิจการอาหารในสหรัฐฯเพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 23, 2016 17:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) คาดรายได้ปี 60 อยู่ที่ราว 5 แสนล้านบาท เติบโตไม่น้อยกว่า 10% จากปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้โตกว่าเป้าหมาย ขณะที่คาดอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ปีหน้าจะดีกว่าระดับ 9% ในปีนี้ หลังเข้าซื้อกิจการ Bellisio Foods Inc. (Bellisio) ซึ่งทำธุรกิจอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานในสหรัฐฯ มูลค่า 1.075 พันล้านเหรียญสหรัฐ และยังมองมีโอกาสเข้าซื้อกิจการธุรกิจอาหารในสหรัฐฯอีกในปีหน้าด้วย โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนธุรกิจอาหารเป็น 25% ในปี 63 จาก 17% ในปี 60

ขณะที่ตั้งงบลงทุนปี 60 ที่ระดับ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจเดิม โดยไม่นับรวมการเข้าซื้อกิจการที่บริษัทยังสนใจซื้อกิจการเพิ่มเติมในสหรัฐ พร้อมยืนยันว่าบริษัทไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน แม้จะมีการซื้อกิจการเพิ่มเติมอีก เนื่องจากยังมีกระแสเงินสดจาก EBITDA และมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ในระดับต่ำ

นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร ของ CPF คาดว่ารายได้ปี 59 จะทำได้ 4.5 แสนล้านบาท เติบโต 12% จากปีก่อน สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะเติบโต 10% และในปี 60 คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% มาที่ 5 แสนล้านบาท และคาดว่าในช่วง 5 ปีข้างหน้ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี

ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทจะมาจากธุรกิจเดิมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง (Organic Growth) เช่น ฟาร์มสุกร ฟาร์มไก่ สินค้าแปรรูป อาหารสำเร็จรูป เป็นต้น รวมทั้งจากการเข้าซื้อกิจการและร่วมลงทุน (M&A) โดยปีนี้บริษัทมีดีลซื้อกิจการ 11 รายการ ซึ่งดีลใหญ่สุดของปีนี้คือการเข้าซื้อ Bellisio ในสหรัฐอเมริกา มูลค่า 1.075 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.8 หมื่นล้านบาท

สำหรับ Bellisio เป็นผู้ผลิตอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของบริษัทที่จะทำให้สัดส่วนของธุรกิจอาหาร (Food) เพิ่มเป็น 17% ในปี 60 จากปีนี้มีสัดส่วนอยู่ที่ 12% โดยการซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้บริษัทก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำที่ใหญ่ที่สุดในตลาดอาหารของโลก และเป็นส่วนสำคัญของบริษัทขึ้นไปสู่การเป็นครัวของโลก บริษัทตั้งเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วน Food ไปที่ 25% ในปี 63 แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) และ ฟาร์มเลี้ยงไก่และสุกร (Farm)

อีกทั้งจะช่วยให้ EBITDA Margin ในปี 60 ปรับตัวดีขึ้นจากปี 59 อยู่ระดับ 9% โดยธุรกิจ Bellisio มี EBITDA Margin สูงถึง 12-14%

ธุรกิจ Bellisio มีส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 3 ในประเทศสหรัฐฯ ภายใต้ตราสินค้า ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เช่น Michelina's , Boston Market, Chilli's และ Atkins เป็นต้น รวมถึงอาหารเพื่อสุขภาพซึ่งมีจุดเด่นด้านคุณภาพและโภชนาการภายใต้ตราสินค้า EatingWell และ EAT! มีโรงงาน 4 แห่งในรัฐโอไฮโอ แคลิฟอร์เนีย และมินนิโซตา มีช่องทางขาย 5 หมื่นจุด ทั่งนี้จะเริ่มนับรวมในงบการเงินรวมตั้งแต่ 1 ม.ค. 60

นายอดิเรก กล่าวว่า บริษัทเห็นโอกาสขยายการผลิตอาหารไทยและอาหารเอเชียในโรงงานของ Bellisio ในสหรัฐฯ โดยใช้แบรนด์ซีพี ซึ่งในสหรัฐฯมีวัตถุดิบเนื้อหมูและเนื้อไก่ราคาถูก ขณะที่นโยบายนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบสหรัฐฯ จะทำให้ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงมาที่ 15% ถือว่าต่ำมาก เทียบกับไทยเก็บภาษี 20% ยิ่งกว่าบริษัทลงทุนได้ถูกเวลา ซึ่งช่วงที่ซื้อและจ่ายเงินสด ในอัตราแลกเปลี่ยน 35.30 บาท/ดอลลาร์ แต่วันนี้บาทอ่อนค่าแตะ 36 บาท/ดอลลาร์ ทำให้เงินที่เข้าซื้อกิจการเพิ่มมูลค่า

"ปีนี้ CPF เข้าซื้อกิจการ 11 รายการ ซึ่งถือว่ามากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน"นายอดิเรก กล่าว

นายอดิเรก กล่าวว่า แม้ว่าการเข้าซื้อกิจการ Bellisio ใช้กระแสเงินสด 3.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับว่ามีมูลค่าสูงแต่ผลประโยชน์ที่ได้รับกลับมามาก และบริษัทยังไม่มีความจำเป็น ต้องเพิ่มทุน เพราะแต่ละปีบริษัทมี EBITDA หรือกระแสเงินสดมาก โดยปี 59 คาดจะมี EBITDA ที่ระดับ 4.2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทอาจจะขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Non Core) อาทิ ที่ดิน ประกอบกับควบคุมค่าใช้จ่ายการบริหาร เพื่อช่วยเพิ่มกระแสเงินสดด้วย ขณะที่ยังมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิ (Net D/E) ยังอยู่ระดับต่ำ อยู่ที่ 1.2-1.3 เท่า

สำหรับงบลงทุนในปี 60 ตั้งไว้ที่ระดับ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ขยายธุรกิจเดิม ไม่นับรวมการเข้าซื้อกิจการ ขณะที่การซื้อกิจการก็ยังมีต่อเนื่อง โดยบริษัทมีโอกาสเข้าซื้อกิจการอาหารเพิ่มเติมในสหรัฐ ซึ่งขณะนี้มีผู้ติดต่อเข้ามาบ้างแล้ว และยังมองหาซื้อธุรกิจอาหารทั้งในส่วนธุรกิจ Feed และ Farm ที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาเพื่อขยายตลาด

ปัจจุบัน CPF ลงทุน 14 ประเทศ โดยไทยมีสัดส่วน 32% ของรายได้ จีน 24% และเวียดนาม 17% โดยมองว่าสัดส่วนรายได้จากจีนใน 5 ปีนี้จะแซงหน้าไทย เพราะมีประชากรจำนวนมาก โดยปีนี้ได้ลงทุนเพิ่มในธุรกิจไก่ครบวงจร ส่วนในเวียดนามก็มีอัตราเติบโตสูง ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 12-15% หรือประมาณ 7 หมื่นล้านบาท และปีหน้าเติบโตไม่น้อยกว่า 10-15% ซึ่งเวียดนามมีทั้งธุรกิจอาหารสัตว์และฟาร์มสุกร

สำหรับเหตุการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดในหลายประเทศ อาทิ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน นั้น บริษัทก็มีโอกาสส่งออกไก่ได้มากขึ้นด้วย โดยปีนี้คาดการส่งออกไก่เติบโต 20% และปี 60 คาดโตไม่น้อยกว่า 15%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ