นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า ในปี 2560 KTAM มองว่าสินทรัพย์เสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นจะได้รับผลดี เนื่องจากการโยกย้ายเงินลงทุนจากตลาดพันธบัตรหรือตราสารหนี้เข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น โดยแนวทางการลงทุนนั้นจะเป็น Reflation หรือการฟื้นตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อตลาดตราสารหนี้ ในขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่สามารถชดเชยต่ออัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นได้ รวมถึงความคาดหวังของตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จะส่งผลให้การเติบโตของบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ KTAM คาดว่ากล่มอุตสาหกรรมที่จะได้รับประโยชน์ได้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมที่แปรผันตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ได้แก่ กลุ่มธนาคารและการเงิน กลุ่มพลังงาน กลุ่มโลหะอุตสาหกรรม ซึ่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของอัตราดอกเบี้ย ราคาพลังงาน และราคาโลหะอุตสากรรมที่ได้รับผลดีจากการกระตุ้นผ่านมาตราการการคลังทั้งจากรัฐบาลสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอาจมีรัฐบาลอื่นๆเพิ่มเติมหลังจากที่ได้ใช้นโยบายทางการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจมาโดยตลอดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินคราวที่แล้ว
ส่วนในปี 59 บริษัทได้นำเสนอกองทุนต่างๆเพื่อเพิ่มโอกาสแก่นักลงทุนในการสร้างทางเลือกให้สามารถตอบโจทย์การลงทุนได้ทุกช่วงเวลาในทุกๆ วัฏจักรของตลาดเงิน ตลาดทุน โดยในช่วงที่ผ่านมา กองทุนรวมต่างประเทศ ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่สามารถกระจายการลงทุน เพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดี และสามารถลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนได้ โดยเฉพาะนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการความผันผวนของราคาน้ำมันที่ส่งผลต่อสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เหตุการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง เช่น Brexit หรือ ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ผิดจากการคาดการณ์ของหลายๆ ฝ่าย ซึ่งได้สร้างความผันผวนต่อตลาดต่างๆค่อนข้างมาก
กองทุนรวมต่างประเทศของบริษัท ยังคงสามารถตอบโจทย์และมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี ให้กับผู้ลงทุนได้ โดยอยู่ในอันดับต้นๆ ของกลุ่มการลงทุนต่างประเทศ จากการจัดอันดับของ Morningstar ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2559 เช่น กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์ (KT-Energy) ที่เน้นลงทุนในกองทุนหลัก BGF World Agriculture Fund ลงทุนหุ้นของบริษัททั่วโลก กลุ่มพลังงาน ที่ประกอบธุรกิจหลักด้านการสำรวจพัฒนาผลิตและจัดจำหน่ายพลังงาน,
กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ โกลด์ แอนด์ เพรเชียส เอควิตี้ ฟันด์ (KT-Precious) เน้นลงทุนในกองทุนหลัก Franklin Gold and Precious Metal Fund เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่ประกอบธุรกิจเหมืองแร่ทองคำ และโลหะมีค่า,กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ แอนด์ ไมน์นิ่ง ฟันด์ (KT-Mining) ลงทุนในกองทุนหลัก Aliianz Global Metal and Mining เน้นหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกที่ประกอบธุรกิจเหมืองแร่,กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ (KT- Finance) ลงทุนในกองทุนหลัก Fidelity Fund–Global Financial Service Fund เน้นหุ้นบริษัททั่วโลกในกลุ่มการเงิน และการบริการทางการเงินเป็นหลัก เช่น ตลาดหลัดทรัพย์ บริษัทเงินทุน
และกองทุนเปิดเคแทม ยูโรเปียน อิควิตี้ ฟันด์ (KT-EURO) ลงทุนในกองทุนหลัก Invesco Continental European Small Cap Equity Fund เน้นหุ้นกลุ่มประเทศในแถบยูโรโซน ไม่รวม UK โดยกองทุนรวมหลักจะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็ก
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2559 ย้อนหลัง1 ปี และ YTD (นับแต่2ม.ค.-9 ธ.ค.59) ดังนี้ กองทุน KT-Energy 16.84%,21.23% Benchmark 22.57%,24.21% กองทุน KT-Finance 11.17%,9.24% Benchmark 6.13%,4.98% กองทุน KT-Mining 75.41%,64.01% Benchmark 71.55%,68.75% กองทุน KT-Precious 51.46%,51.89% Benchmark 50.00% 53.06% กองทุน KT-Euro 8.75% ,6.33% Benchmark -2.49% และ-3.83%
กองทุนดังกล่าวมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากการพื้นตัวของกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงไปต่ำสุดอยู่ที่ 26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และปรับขึ้นมาอยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้กลุ่มโลหะอุตสาหกรรม และโลหะมีค่ามีการฟื้นตัวด้วยเช่นกัน