นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) ประเมินตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (29 ธ.ค.) สองวันสุดท้ายของตลาดหุ้นทั่วโลก จะมีลักษณะที่คล้ายๆ กัน คือ มีการซื้อขายที่เบาบางลงเช่นวันที่ผ่านมา ดัชนีฯจะมีความผันผวนในกรอบแคบๆ และมีแรงขายทำกำไรเข้ามา หลังดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลง
ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นได้จาก 2 เหตุผลหลัก คือ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาดี และอีกเหตุผลหนึ่ง คือ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น จากการเล็งว่าการลดกำลังการผลิตน้ำมันของผู้ผลิตน้ำมันจะเกิดขึ้นจริงในปริมาณที่มีนัยต่อราคาน้ำมันดิบในตลาด โดยการร่วงลงของดัชนี Dow Jones ในคืนที่ผ่านมา จากตัวเลขยอดขายบ้านรอการปิดโอนเดือน พ.ย. ที่ลดลง 2.5% แต่หนุนค่าเงินดอลลาร์ให้ขยับขึ้น ดัชนี Dollar Index ปรับตัวขึ้นในระหว่างวันสูงสุดนับจากปี 2545 เป็นต้นมา ที่ระดับ 103.63 จุด อาจเป็นสัญญาณลบต่อ Fund Flow เพราะจะกระตุ้นให้นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นเร็วขึ้น แต่ผลในทางบวก คือ เป็นบวกต่อประเทศผู้ส่งออก และหุ้นกลุ่มส่งออก โดยเฉพาะอีเล็คทรอนิคส์ ที่ตัวเลขส่งออกเดือน พ.ย. ขยายตัว 7.2% และมีสัญญาณของการฟื้นตัว
ส่วนปัจจัยในประเทศ นักลงทุนยังคงใช้ปัจจัยเดิมๆ ในการตัดสินใจเข้าลงทุน คือ การเข้าซื้อหุ้นที่ได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ หุ้นส่งออก และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันสูงขึ้น ซึ่งจะยังคงต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ โดยแรงซื้อหุ้นจากกองทุนฯ ที่เราคาดว่าจะเป็น RMF-LTF ที่มีการซื้อหุ้น และเป็นที่น่าสังเกตุว่า ตลาดหุ้นสัปดาห์สุดท้ายของปีนี้จะค่อนข้างดี นั่นหมายความว่าโอกาสที่ 2 วันที่เหลือก็น่าจะดีด้วย
การเข้าลงทุนในวันนี้ จึงควรเลือกเล่นสั้นๆ ในหุ้นที่ตลาดเล่นกันไว้ก่อน ความเห็นยังคงเหมือนวันที่ผ่านมา คือ ให้ความสนใจกับหุ้นกลุ่มส่งออกและกลุ่มน้ำมัน (ผู้ผลิต) ขณะที่หุ้นกลุ่มที่ราคาขึ้นน้อย (laggard) อาจถูกยกขึ้นมาเก็งกำไรในบางตัว การเข้าเก็งกำไรช่วงสั้นหุ้นที่คาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุน อาทิ PTTEP,KCE,LH,ABICO,VGI