นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอพเพิล เวลธ์ เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) ในปี 60 คาดว่าจะผันผวนในกรอบ 1,400-1,600 จุด เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐจะทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐมีโอกาสฟื้นตัว ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.125% ซึ่งน่าจะส่งผลให้ Fund Flow ยังมีทิศทางไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่
โดยหากพิจาณาความสัมพันธ์ดัชนี MSCI Asia Pacific Ex.Japan และอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate จะเห็นได้ว่าหากดอกเบี้ยสหรัฐปรับตัวขึ้น น่าจะส่งผลลบให้ดัชนี MSCI Asia Pacific Ex.Japan ยังมีทิศทางผันผวนเชิงลบ เนื่องจากเงินทุนในตลาดพันธบัตรและตลาดทุนมีโอกาสไหลกลับไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ตอบแทนสูงกว่าในรูปดอลลาร์สหรัฐ
"สิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาในการลงทุนปี 60 คือนโยบายเศรษฐกิจใหม่ของนายทรัมป์ ที่เน้นไปที่การสร้างงานในประเทศสหรัฐผ่านแนวทางปรับลดภาษีนิติบุคคล, ภาษีเงินได้ส่วนบุคคล, นโยบายยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้วยวงเงินสูงสุด 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และปรับข้อตกลงการค้ากับประเทศคู่ค้าใหม่เพื่อลดการขาดดุลทางค้า รวมทั้งการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐ ที่คาดการณ์ขึ้นดอกเบี้ยปีหน้าอีก 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% มากกว่าเดิมที่คาดจะขึ้น 2 ครั้ง รวมทั้ง Fund Flow อาจจะยังไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวแรงกว่าคาด
ขณะที่ประเด็นการเลือกตั้งในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส (เลือกตั้งประธานาธิบดี เม.ย – พ.ค.),เยอรมัน (เลือกตั้งทั่วไป ส.ค.–ต.ค.) ซึ่งหากผลการเลือกตั้งฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเดิมชนะการเลือกตั้ง มีโอกาสที่จะเห็นการใช้นโยบายเชิงชาตินิยมและการขอออกจากสหภาพยุโรป"นายอภิชัยกล่าว
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยในปีหน้ายังมีปัจจัยบวกจากภาพรวมภาวะเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งคาดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 59 จำนวน 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ, หนี้สิน/GDP อยู่ที่ระดับ 34.8% และระดับหนี้ NPL ต่ำกว่าระดับ 3% ขณะที่การเมืองไทยหลังจากรัฐธรรมนูญ ผ่านประชามติน่าจะส่งผลบวกต่อการปฏิรูปกฎหมายต่างๆ และสร้างระบบการเมืองที่มีเสถียรภาพในอนาคต ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อนักลงทุนในช่วงปลายปี 60
นอกจากนี้ Valuation ดัชนี SET ระดับปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ Forward P/E 14 เท่า และอัตรา Earning Growth ที่ราว 11% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP นั้นดัชนีหุ้นไทยถูกกว่าตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ที่ซื้อขายที่ระดับ Forward P/E 15.6 เท่า และมี Earning Growth ที่ 7.8% ประกอบกับ Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติได้ไหลออกจากตลาดหุ้นในช่วงปี 57-58 ราว 3 แสนกว่าล้านบาท ส่งผลแรงขายนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยมีค่อนข้างจำกัด และเริ่มเห็นการเข้าซื้อสะสมหุ้นไทยของต่างชาติในปี 59 จำนวน 7 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ Downside Risk ของดัชนีหุ้นไทยค่อนข้างน้อยในกรณีตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน
กลยุทธ์การลงทุนในปี 60 แนะนำซื้อลงทุนกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง CK,STEC,UNIQ,SEAFCO,PYLON ได้ปัจจัยบวก Acton Plan งบลงทุนกระทรวงคมนาคมปี 60 จำนวน 8.95 แสนล้านบาท กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี PTT,PTTEP,PTTGC, BCP,IRPC,IVL จากอานิสงส์แนวโน้มขาขึ้นของราคาน้ำมันดิบ และกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น STA,KBS,BRR,UVAN, UPOIC,CPI
สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 59 ฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดช่วงเดือน ม.ค.ขึ้นไปทำจุดสูงสุดช่วงเดือน ส.ค. บริเวณ 1,550 จุด โดยได้แรงหนุนจากแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติราว 7 หมื่นล้านบาท และแรงซื้อจากพอร์ตโบรกเกอร์ 2.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในช่วงเดือน ต.ค. – ธ.ค. ที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP (ไทย-อินโดนีเซีย -ฟิลิปปินส์) เนื่องจากความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจนายทรัมป์ และแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปี 2560