โบรกฯส่องแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 60 ผันผวนจากปัจจัยนอกปท.เป็นหลัก,เล็งเป้า SET สูงสุด 1,620-1,666 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 29, 2016 12:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ส่องตลาดหุ้นไทยปี 60 คาดว่าจะผันผวนจากปัจจัยนอกประเทศเป็นหลัก เล็งไปที่นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ซึ่งจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดหลัง"ทรัมป์"รับตำแหน่งในเดือนม.ค.60 ว่าจะมีนโยบายออกมาแบบใด

นอกจากนี้ยังต้องติดตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยของโลก หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดการณ์ว่าปี 60 จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง ทำให้เห็นถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ อาจส่งผลให้ Fund Flow ไหลออก และทำให้เงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ว่าจะส่งผลดีในแง่การส่งออก และการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวขึ้นได้ก็ตาม

ส่วนทิศทางราคาน้ำมันในปี 60 ก็มองว่าจะเป็นขาขึ้น หลังจากน่าจะทำระดับต่ำสุดในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯดีขึ้น ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันยอมที่จะปรับลดการผลิตลง ย่อมทำให้ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้น

ส่วนการเลือกตั้งในไทย หากสามารถเลือกตั้งได้ในเดือน ธ.ค.ก็จะส่งผลให้ Fund Flow ไหลกลับเข้ามาในไทย ดังนั้น ยังเป็นเรื่องที่จะต้องจับตา นอกจากนี้ ควรติดตามอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทย และโครงการลงทุนของภาครัฐฯด้วย

อย่างไรก็ดี ไม่เพียงแต่ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง ยังมีอีกหลายประเทศที่จะมีการเลือกตั้ง อย่างฝรั่งเศส และเยอรมนี เป็นต้น ซึ่งจะต้องจับตาการเลือกตั้งในฝรั่งเศสให้ดี เพราะมีบางกลุ่มต้องการที่จะอยากออกจากยูโรโซน ดังนั้น ปีหน้ายังมองว่าปัจจัยจากฝั่งยุโรปอาจจะเป็นประเด็นที่จะเข้ามารบกวนบรรยากาศการลงทุนในตลาดฯได้

          โบรกเกอร์                   เป้าดัชนีฯปี 60      P/E       EPS Growth ปี 60
                                        (จุด)         (เท่า)          (%)
          บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)       1,650          14.1          15
          บล.เคที ซีมิโก้                  1,630          15.2          10
          บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)          1,666          16.0          7.2
          บล.ทรีนีตี้                      1,620          15.1          11
          บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) 1,620          15.5          5
*บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)

          นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 60 คาดว่าจะมีความผันผวนอยู่บ้าง เนื่องจากจะมี 4-5 ปัจจัยที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการลงทุน อย่างแรกเป็นนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ซึ่งหากใช้นโยบายตามที่ได้หาเสียงไว้ก็อาจจะมีผลกระทบต่อไทยบ้างแต่ไม่มาก แค่เงินบาทอ่อนค่า
          อย่างที่สองเป็นทิศทางอัตราดอกเบี้ยของโลก หลังจากที่เฟด ได้คาดการณ์ว่าปี 60 จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง จากเดิม 2 ครั้ง ทำให้เห็นถึงอัตราดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น โดยคาดว่านับจากปี 60-62 จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมกันถึง 9 ครั้ง ซึ่งทำให้มีผลกระทบต่อตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ ส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ และส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าด้วย แต่การที่เงินบาทอ่อนค่าก็จะส่งผลดีในแง่ของการส่งออก และการท่องเที่ยวในประเทศที่จะฟื้นตัวขึ้นได้
          อย่างที่สามเป็นเรื่องของราคาน้ำมันที่ปีหน้ามองว่าจะเป็นขาขึ้น หลังจากราคาน้ำมันน่าจะทำระดับต่ำสุดแล้วในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯดีขึ้น ขณะที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันยอมที่จะปรับลดการผลิตลง ย่อมทำให้ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้น โดยคาดการณ์ราคาน้ำมันปีหน้า จะเคลื่อนไหวในกรอบ 45-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังจากที่ปีนี้ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวในกรอบ 28-54 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
          อย่างที่สี่การเลือกตั้งในไทย หากมีการเลือกตั้งได้ตามที่คาดไว้ว่าจะเลือกในช่วงเดือน ธ.ค.60 ก็จะทำให้นักลงทุนระยะยาวกล้าที่จะกลับมาลงทุนในไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ Fund Flow ไหลกลับเข้ามาในไทย
          สุดท้ายไม่เพียงแต่ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง ยังมีอีกหลายประเทศที่จะมีการเลือกตั้ง อย่างฝรั่งเศส และเยอรมนี เป็นต้น ซึ่งจะต้องจับตาการเลือกตั้งในฝรั่งเศสให้ดี เพราะมีบางกลุ่มต้องการที่จะอยากออกจากยูโรโซน ดังนั้น ปีหน้ายังมองว่าปัจจัยจากฝั่งยุโรปอาจจะเป็นประเด็นที่จะเข้ามารบกวนบรรยากาศการลงทุนในตลาดฯได้
          สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในปี 60 เป็นหุ้นในกลุ่มโรงแรม, ท่องเที่ยว ที่น่าจะฟื้นตัวขึ้นได้จากเงินบาทที่อ่อนค่า, หุ้นในกลุ่มอาหาร รับผลจากส่งออกที่น่าจะดีขึ้น และโรคไข้หวัดนก ที่บางประเทศประสบปัญหาอยู่ ทำให้ไทยส่งออกไปได้มากขึ้น, กลุ่มพลังงาน ได้ผลดีจากราคาน้ำมันที่เป็นขาขึ้น, รับเหมาก่อสร้าง รับอานิสงส์จากโครงการภาครัฐฯ และกลุ่มมีเดีย ที่น่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ตามเศรษฐกิจที่น่าจะดีขึ้น
          หุ้นที่น่าสนใจในปีหน้า 60 คือ หุ้น บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC), บมจ.ช.การช่าง (CK), บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC), บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH), บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR), บมจ.ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 (SAWAD) และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

*บล.เคที ซีมิโก้

          นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ปี 60 ตลาดหุ้นไทยต้องรับสภาพตัวแปรจาก Fund Flow ที่ขึ้นอยู่กับนโบบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ที่จะเข้ามารับตำแหน่งในวันที่ 25 ม.ค.60 ซึ่งจะต้องรู้ก่อนว่านโยบายของ"ทรัมป์"คืออะไร จะเป็นการลดภาษี และกีดกันการค้าอย่างที่หาเสียงไว้หรือไม่ ถ้าเป็นตามนี้ก็จะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าต่อ และจะมีแรงขายในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ออกมาอีกหรือไม่
          อีกทั้งในปีหน้าจะต้องติดตามการเลือกตั้งของหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี, ฝรั่งเศส, ไทย, อิตาลี ซึ่งอาจมีผลต่อบรรยากาศการลงทุนของตลาดฯได้ อย่างไรก็ดี มองว่าในช่วงไตรมาส 1/60 น่าจะจับตาดูทิศทาง Fund Flow เป็นหลัก ถ้า Fund Flow ไม่เข้า หุ้นก็ไม่ไป และถ้านโยบายของ"ทรัมป์"ไม่ได้มีอะไรมาก ก็อาจจะทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในตลาดฯได้
          นอกจากนี้ยังต้องติดตามดูการค้าโลกจะดีขึ้นด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ดี มองทิศทางราคาน้ำมันน่าจะเป็นขาขึ้นได้ ซึ่งจะเป็นตัวหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี รวมถึงพลังงานทางเลือก ก็น่าลงทุนได้อยู่
          พร้อมมองหุ้นที่น่าลงทุน เป็นหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค, กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง รวมไปถึงเสาเข็ม ได้ประโยชน์จากโครงการรถไฟฟ้า, พวก Commodity plays ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน, น้ำมัน, ถ่านหิน, ยางพารา, น้ำตาล เป็นต้น

*บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)

          น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปีหน้าคงจะยังมีความผันผวนคล้ายคลึงกับช่วงครึ่งหลังปี 59 โดยมองปัจจัยภายนอกประเทศเป็นหลักที่จะมีผลต่อความผันผวนของตลาดฯ ซึ่งมีความไม่แน่นอนมาก ทั้งนโยบายของ"ทรัมป์" และเหตุการณ์ต่าง ๆ ในยุโรป
          แต่ตลาดฯก็น่าจะได้แรงขับเคลื่อนจากปัจจัยในประเทศ ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะดูดีขึ้น โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยคาดว่าจะเติบโต 3.2% และหากในช่วงปลายปี 60 ไทยสามารถทำการเลือกตั้งได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ก็น่าจะผลักดันให้ Fund Flow ไหลเข้ามาได้มากขึ้นด้วย
          พร้อมมองหุ้นที่น่าสนใจในปีหน้า เป็นหุ้นที่อิงกับนโยบายของภาครัฐฯ ทั้งความคืบหน้าในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมองหุ้นในกลุ่มค้าปลีก, กลุ่มแบงก์ และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้ มองว่าหุ้นในกลุ่มมีเดียในปีหน้าก็น่าจะดีขึ้นด้วย จากที่ปี 59 กลุ่มมีเดียถือว่าไม่ดี ปีหน้าก็น่าจะเติบโตได้จากฐานที่ต่ำในปีนี้

*บล.ทรีนีตี้

          นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปีหน้ามีความเสี่ยงในทางขาลงมากกว่าขาขึ้น เนื่องจากมองว่า Fund Flow น่าจะชะลอตัว โดยมีปัจจัยจากการเข้ามาดำรงตำแหน่งของ"ทรัมป์" ซึ่งคงจะต้องออกนโยบายต่าง ๆ ทั้งเรื่องการลดภาษี เพื่อดึงเงินเข้าประเทศมากขึ้น ส่ผลให้ Fund Flow ส่วนหนึ่งไหลกลับเข้าสหรัฐฯ และนโยบายการเงินทั่วโลก ก็คงจะได้เห็นการถอนสภาพคล่อง หลังจากที่เห็นแล้วว่าเฟด คงจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งในปีหน้า และทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็จะลดวงเงินตามมาตการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ลง  ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ก็คงจะเน้นควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรแทน ดังนั้นสภาพคล่องของแบงก์ชาติเหล่านี้คงจะลดลงตามลำดับ
          สำหรับปัจจัยในประเทศในปี 60 ก็คาดว่า GDP ไทยคงจะเติบโต 3.2% ซึ่งถ้าเติบโตเพียงเท่านี้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็คงจะเติบโตได้ราว 10%
          พร้อมมองหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในปีหน้า เป็นหุ้นจำพวกสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) เพราะได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า และเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นด้วย และโดยปกติราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็มักจะสูงขึ้นตามเงินเฟ้อ ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน, ปิโตรเคมี, อาหารและเครื่องดื่ม, อิเล็คทรอนิกส์ นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างก็น่าสนใจลงทุน รับผลจากการเปิดประมูลโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ

*บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)

          น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปี 60 ที่บริเวณ 1,570 จุด โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ/หุ้น (EPS Growth) ไว้ที่ 2% และเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ 1,620 จุด โดยคาดการณ์ EPS Growth ไว้ที่ 5% ซึ่งคิด P/E  15.5 เท่า ทั้งสองเป้าหมาย
          ตลาดหุ้นไทยปีหน้าคงจะมีความผันผวน โดยมีปัจจัยมาจากนโยบายของ"ทรัมป์"ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และทิศทาง Fund Flow ซึ่งจะต้องจับตาดูว่า Fund Flow ต่างชาติจะไหลออกอีกหรือไม่ เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
          ส่วนในประเทศคาดว่า ตัวเลข GDP ของไทยในปีหน้าจะเติบโต 3.2-3.5% โดยปีหน้ามองว่าหุ้นนอกกลุ่ม SET50 จะมีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ขณะที่หุ้นในกลุ่ม SET50 จะเติบโตตัวเลขหลักเดียว ดังนั้น ปีหน้าจะต้องจับตาเงินทุนเคลื่อนย้าย และการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงติดตามโครงการลงทุนของภาครัฐฯด้วย ถ้าสามารถเดินไปได้ตามแผน ก็น่าจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และตลาดฯ แต่ถ้าเกิดความล่าช้าก็อาจจะกดดันตลาดฯ สำหรับการเลือกตั้งของไทยก็คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 61
          หุ้นที่น่าสนใจลงทุนในปีหน้า แบ่งเป็น กลุ่ม High Dividend ซึ่งก็คือ หุ้น ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP), บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO), บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP), บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) ส่วนกลุ่ม Value plays คือ หุ้น บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT), บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC),  บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN)
          และกลุ่ม High Growth คือ หุ้น บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN),  บมจ.เมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS), บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG), บมจ.โรงพยาบาล ลาดพร้าว (LPH),  บมจ.เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK), บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW), บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN), บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ