โบรกเกอร์ แนะซื้อ"หุ้นบมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) ขณะที่มองบวกต่อการจะเข้าซื้อธุรกิจลูกค้ารายย่อยจากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 60 และรับรู้ผลประโยชน์เต็มที่ในปี 61 ทำให้ต่างปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิในปี 60-61 และราคาเป้าหมายหุ้น เพื่อสะท้อนพอร์ตสินเชื่อที่เติบโต ขณะที่แนวโน้ม NPL ลดลงต่อเนื่องจากคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น แม้ว่าสินเชื่อเอสเอ็มอีจะมี NPL เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม นอกจากนี้ TISCO ยังจะได้รับโมเมนตัมของสินเชื่อที่ดีขึ้นตามยอดขายรถยนต์ในประเทศด้วย
ทั้งนี้ TISCO จะเข้าซื้อธุรกิจลูกค้ารายย่อยจากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) โดยมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ ณ ก.ย.59 อยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท ประกอบด้วย ยอดสินทรัพย์ประมาณ 4.16 หมื่นล้านบาท และหนี้สินประมาณ 3.61 หมื่นล้านบาท เพื่อ เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจลูกค้ารายย่อย และเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้า
ราคาหุ้น TISCO อยู่ที่ 63.25 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท (+4.98%)
กรุงศรี ซื้อ 68.00 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 72.00 โกลเบล็ก ซื้อ 70.00 ทรีนีตี้ ซื้อ 65.00 เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ซื้อ 65.00
นางสาวสุนันทา วสะภิญโญกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า ฟินันเซียฯได้ปรับเพิ่มกำไรสุทธิของ TISCO ในปี 60 ขึ้นอีก 6.8% มาที่ 5.7 พันล้านบาท หรือเติบโต 13.4% จากปีนี้ และปรับขึ้นกำไรสุทธิในปี 61 อีก 13% เป็น 6.45 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13% จากปี 60 เพื่อสะท้อนดีลการซื้อพอร์ตสินเชื่อรายย่อยจากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) ซึ่งคาดว่าจะรวมสินเชื่อและรับรู้กำไรได้ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 60 และรับรู้เต็มปีในปี 61 โดยคาดว่าจะเพิ่มสินเชื่อราว 13-15%
"หลังจากที่ TISCO ได้เข้าซื้อพอร์ตลูกค้ารายย่อยจากสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เราจึงได้ปรับประมาณการใหม่ และมองว่า ROE จะปรับขึ้นเป็น 17.4% และ 17.7% ในปี 60 และ 61 ตามลำดับ จากเดิมที่ 16.4% และ 16% หรือสูงสุดในรอบ 3 ปี ใกล้เคียงปี 57 เราจึงได้ปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 72 บาท จากเดิมที่ 60 บาท บนระดับ P/E 10 เท่า"นางสาวสุนันทา กล่าว
บทวิเคราะห์ของ บล.โกลเบล็ก ระบุว่า ได้ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมของ TISCO เป็น 70 บาท จากเดิม 60 บาท หลังได้ปรับประมาณการกำไรปี 60 เพิ่มขึ้น 16% เป็นราว 6.3 พันล้านบาท หรือเติบโต 25% จากปีนี้ เนื่องจากได้ปรับเพิ่มสมมติฐานอัตราการเติบโตของสินเชื่อเป็น 15% เพื่อสะท้อนถึงพอร์ตที่เติบโตหลังซื้อธุรกิจลูกค้ารายย่อยจากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)
ขณะที่ฐานะเงินกองทุน ยังแข็งแกร่งโดยมีอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามวิธี IRB (BIS Ratio) ณ ปลาย เดือนก.ย.59 ที่ 19.87% และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier I) อยู่ที่ 15.22% ประกอบกับคาดการณ์เงินปันผลราวหุ้นละ 2.50 บาทคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ราว 4.3% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม ยังคงประมาณการกำไรปี 59 ของ TISCO ที่ระดับ 5.01 พันล้านบาท เติบโต 18% จากปี 58 ซึ่งคาดกำไรในช่วงไตรมาส 4/59 อยู่ที่เกือบ 1.3 พันล้านบาท เติบโต 4% จากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแนวโน้มสินเชื่อปลายปี 59 ยังหดตัว แต่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดลงต่อเนื่องทุกไตรมาสเนื่องจากคุณภาพสินเชื่อหลัก ซึ่งได้แก่สินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้น แม้ว่าสินเชื่อเอสเอ็มอีจะมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม
ทั้งนี้ อัตราส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมทรงตัวที่ 3.04% อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์ของลูกหนี้กลุ่มบมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ที่กลับสู่ภาวะปกติหลังแผนฟื้นฟูกิจการได้รับความเห็นชอบแล้ว ทำให้อัตราส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม ณ ปลายปี 59 มีแนวโน้มลดลง และอัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อ NPL (Coverage Ratio) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากระดับ 107% ณ ปลายไตรมาส 3/59
ด้าน บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การซื้อพอร์ตลูกค้ารายย่อยจากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ซึ่งในส่วนของสินเชื่อที่ซื้อเข้ามาใหม่นี้ 65% เป็นสินเชื่อบ้าน รองลงมาคือสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 25% และมีสัดส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอีขนาดเล็กอยู่ 10% โดยสัดส่วน NPL เฉลี่ยอยู่ที่ 3.0%
นอกจากนี้ TISCO จะได้ลูกค้าใหม่จากดีลนี้ 4 แสนราย โดย 75% จะเป็นลูกหนี้เงินกู้ และอีก 25% เป็นผู้ฝากเงิน โดยคาดว่าดีลดังกล่าวจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปี 60 และคาดว่าจะมีส่วนลดจากมูลค่าทางบัญชีในขณะนั้น ทั้งนี้ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จะช่วย TISCO บริหารพอร์ตสินเชื่อบัตรเครดิตเป็นเวลา 1 ปี เนื่องจากยังเป็นธุรกิจที่ใหม่สำหรับ TISCO โดยคาดว่าหลังจากรวมธุรกิจใหม่นี้เข้ามาในปี 60 แล้วจะช่วยให้พอร์ตสินเชื่อของ TISCO โตขึ้นอีก 15% และฐานเงินฝากโตขึ้นอีก 20%
ทั้งนี้ ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิของ TISCO ในปี 60-61 ขึ้นอีก 3-10% เพื่อสะท้อนถึงสมมติฐานสินเชื่อที่โตมากกว่าเดิม โดยคาดว่าอัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) จะเพิ่มขึ้นเป็น 17-18% ในปี 60-61 จาก 16.7% เนื่องจากจะสามารถใช้ประโยชน์จากเงินทุนส่วนเกินที่มีอยู่เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรครั้งนี้แล้ว จึงได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 68 บาท จากเดิมที่ 64 บาท
"เราชอบ TISCO ในแง่ของคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น บวกกับโมเมนตัมการเติบโตของสินเชื่อที่ดีขึ้นตามยอดขายรถยนต์ในประเทศ และโอกาสสำหรับการเติบโตใหม่ ๆ ในรูปของรายได้จากค่าธรรมเนียมด้วย"กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์